บทความสุขภาพ

Knowledge

“ใจสั่น” เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่?

พญ. พรพิชญา บุญดี

อาการ “ใจสั่น” หรือ “ใจหวิว ๆ” อาจเป็นอาการที่เราเคยเป็น ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เกิดความกังวลว่า อาการใจสั่นนี้เป็นสัญญาณของโรคหัวใจหรือโรคอื่น ๆ หรือไม่ และเนื่องจากอาการใจสั่นเป็นอาการที่พบได้ในทุกเพศ ทุกวัย ทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ มีสาเหตุได้จากหลาย ๆ อย่าง ทั้งสาเหตุที่อันตรายรุนแรงและไม่อันตราย ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่ามีอาการใจสั่นจึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยแยกโรค และหากเป็นอาการใจสั่นชนิดที่อันตรายก็ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง


อาการใจสั่นเป็นอย่างไร?


“ใจสั่น” มักเป็นอาการที่มีความรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วหรือแรงเกินไป อาจเต้นช้า เต้นจังหวะไม่สม่ำเสมอ หรือช้าสลับเร็ว ซึ่งหากมีอาการไม่บ่อยและเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ไม่มีอาการเวียนหัว หน้ามืด หรือเป็นลมอาจไม่น่ากังวลมากนัก แต่หากมีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรืออาการใจสั่นเกิดขึ้นบ่อยหรือใจสั่นครั้งละนาน ๆ และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยควรรีบปรึกษาแพทย์ แต่อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกเหมือนมีอาการใจสั่นก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสมต่อไป


ใจสั่นเกิดจากอะไรได้บ้าง?


“ใจสั่น” เป็นอาการที่สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น


  • ภาวะทางอารมณ์ โรคแพนิค ความเครียด วิตกกังวล ตื่นเต้นตกใจ
  • การออกกำลังกายอย่างหนัก
  • สารกระตุ้นบางอย่าง เช่น คาเฟอีน นิโคติน โคเคน แอมเฟตามีน ยาลดน้ำหนัก ยาแก้หวัดและยาแก้ไอที่มีซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือด
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามรอบเดือนในผู้หญิง การตั้งครรภ์ หรือภาวะพร่องฮอร์โมนในหญิงในวัยหมดประจำเดือน
  • โรคไทรอยด์เป็นพิษ เป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism)
  • มีไข้ ติดเชื้อ
  • ระดับน้ำตาล โพแทสเซียม หรือออกซิเจนในเลือดต่ำ
  • ภาวะโลหิตจาง ภาวะขาดสารน้ำ
  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) ซึ่งหัวใจเต้นผิดจังหวะมีหลายชนิด มีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป

และเนื่องจากอาการใจสั่นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรมหรือแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง



ใจสั่นแบบไหนควรปรึกษาแพทย์?


ใจสั่นเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และสามารถเกิดได้ทั้งในขณะพัก ขณะทำกิจวัตรประจำวัน ออกกำลังกาย หรือทำงาน ส่วนใหญ่มักไม่อันตราย แต่อาการใจสั่นที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจควรได้รับการวินิจฉัยและรักษา ได้แก่


  • โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmias)
  • โรคหัวใจที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiomyopathy)
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart disease)
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack)
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure)
  • โรคลิ้นหัวใจ (valve heart disease)

อาการใจสั่นเป็นอาการที่สามารถเกิดได้จากหลาย ๆ สาเหตุซึ่งต้องมีวิธีการตรวจที่เฉพาะ เพื่อบอกชนิด ระยะเวลา และความรุนแรงของอาการใจสั่นนั้น ดังนั้นหากสงสัยหรือมีอาการใจสั่น ควรปรึกษาแพทย์


อาการที่มักเป็นร่วมกับใจสั่น


อาการใจสั่นมักทำให้มีความรู้สึกหวิว ๆ ใจหาย หรือเหมือนตกจากที่สูง ซึ่งหากเป็นไม่บ่อย และไม่มีอาการหน้ามืด เป็นลม หรือเวียนศีรษะร่วมด้วย อาจเป็นอาการที่ไม่อันตราย แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย ตัวผู้ป่วยควรรีบมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หรือผู้พบเห็นควรพาผู้ป่วยมาโรงพยาบาลทันที เพราะเป็นอาการที่อันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้


  • เจ็บหน้าอก เหนื่อย
  • หน้ามืด เป็นลมหมดสติ
  • หายใจไม่ออก หายใจถี่อย่างรุนแรง
  • เวียนศีรษะอย่างรุนแรง

การวินิจฉัยอาการใจสั่น


  • ซักประวัติ และตรวจร่างกาย
  • ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography; ECG)
  • การติดเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจ 24 หรือ 48 ชั่วโมง (holter monitoring) เป็นการติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 หรือ 48 ชั่วโมงไว้กับตัว โดยผู้ที่ติดเครื่องนี้สามารถกลับบ้าน ใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติโดยที่มีอุปกรณ์นี้คอยบันทึกและติดตามการติดของหัวใจไปพร้อมกันด้วย และเมื่อครบกำหนดเวลาก็สามารถถอดเครื่องออกได้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการใจสั่นผิดปกติเป็นประจำ หรือมีอาการบ่อย ๆ
  • การติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา (event recorder) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อนำมาวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก พกพาสะดวก น้ำหนักเบา สามารถบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะไม่บ่อย หรือมีอาการในระยะเวลาสั้น ๆ
  • การศึกษาสรีรวิทยาไฟฟ้า (electrophysiology study) เป็นการตรวจประเมินสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยหาสาเหตุของหัวใจเต้นผิดปกติ และหาตำแหน่งในหัวใจที่เป็นจุดกำเนิดคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติ โดยการตรวจนี้แพทย์จะทำการใส่สายเข้าไปในห้องหัวใจผ่านหลอดเลือดที่บริเวณขาหนีบ

การรักษาอาการใจสั่น


การรักษาอาการใจสั่นขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากมีอาการไม่รุนแรงอาจยังไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจง อาจใช้การสังเกตอาการและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นบางอย่าง เช่น งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่มีสารกระตุ้น จัดการกับความเครียดหรือวิตกกังวลหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่าง แต่หากสาเหตุของอาการใจสั่นมาจากความผิดปกติของหัวใจ หรือภาวะอื่น ๆ ในร่างกาย แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาเช่น


  • การรับประทานยาควบคุมอัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • การจี้ไฟฟ้าความถี่สูงผ่านสายสวน (radiofrequency catheter ablation; RFCA)
  • การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (permanent pacemaker; PPM)
  • การใส่เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (automatic implantable cardioverter/ defbrillator; AICD)
  • การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าและช่วยการบีบตัวหัวใจ (cardiac resynchronization therapy/debrillator; CRT/CRTD)

ทั้งนี้การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย และจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางหัวใจที่มีความเชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าหัวใจ


สรุป


อาการใจสั่นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งในขณะที่อยู่เฉย ๆ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็ตาม ส่วนใหญ่อาการใจสั่นมักไม่อันตราย แต่อย่างไรก็ตามหากอาการใจสั่นนั้นมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจหรือภาวะหัวใจเต้นผิดปกติก็จำเป็นที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง


ปัจจุบันการวินิจฉัยหัวใจเต้นผิดจังหวะมีความทันสมัย มีหลายวิธีให้เลือกตามความเหมาะสมกับโรคของผู้ป่วย ให้ผลการตรวจที่ค่อนข้างแม่นยำ ถูกต้อง ซึ่งนำไปสู่การรักษาที่ได้ผลดีและตรงกับสาเหตุของอาการใจสั่นมากขึ้น


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. พรพิชญา บุญดี

พญ. พรพิชญา บุญดี

สถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital