บทความสุขภาพ

Knowledge

ตรวจคัดกรองโรคไต ก่อนสายเกินแก้

พญ. ผ่องพรรณ ทานาค

ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย มีหน้าที่กำจัดของเสียออกทางปัสสาวะ ควบคุมสมดุลเกลือแร่ ควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย และยังควบคุมความเป็นกรด-ด่างในเลือดอีกด้วย ดังนั้นเมื่อไตทำงานผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติหลาย ๆ อย่างตามมา เช่น ภาวะน้ำเกิน น้ำท่วมปอด, เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ ภาวะเลือดจาง ขาดวิตามิน หรือหากรุนแรงก็จะเกิดการคั่งของของเสียในร่างกาย


โรคไตสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งอาการมักค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งไม่ได้สังเกตความผิดปกติ ซึ่งกว่าจะรู้ตัว โรคจึงอยู่ในขั้นที่รุนแรงแล้ว ทำให้การรักษายากและซับซ้อนมากขึ้น การตรวจคัดกรองโรคไตจึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญและไม่ควรละเลย เนื่องจากหากตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การรักษาง่ายขึ้น และรักษาการทำงานของไตไว้ได้



โรคไตอันตรายอย่างไร?


โรคไต สามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายโรค เช่น กรวยไตอักเสบ เนื้อเยื่อไตอักเสบ นิ่วในไต ไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง โดยโรคเกี่ยวกับไตที่พบได้บ่อย และการรักษามีความซับซ้อนและมักไม่หายขาด คือ โรคไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคไตวายเรื้อรังที่ผู้ป่วยอาจมีโรคประจำตัวอื่นมาก่อน เช่น เบาหวาน, ความดันสูง และมีภาวะแทรกซ้อนเป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่มีอาการของโรคไตในระยะแรก และจะแสดงอาการผิดปกติเมื่อโรคอยู่ในขั้นที่รุนแรงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ป่วยจึงไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ และเข้ารับการรักษาล่าช้า ทำให้การทำงานของไตเหลืออยู่น้อยและอาจต้องได้รับการฟอกไตในที่สุด


ปัจจุบันประชากรไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยพบว่า มีอุบัติการณ์ของผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 คนต่อปี และพบแนวโน้มผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้ยังแนะนำการตรวจคัดกรองในประชาชนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อค้นหาผู้ป่วยหรือมีผู้ที่มีความเสี่ยงได้เร็วขึ้น ทำให้เข้ารับการรักษาเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการป่วยและเสียชีวิตได้


kidney-disease-screening-tests-2.jpg

ใครควรตรวจคัดกรองโรคไต?


  • ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่เป็นโรคกลุ่ม NCDs (non-communicable diseases) หรือเรียกว่ากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่
    • โรคเบาหวาน
    • โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ
    • โรคถุงลมโป่งพอง
    • โรคมะเร็งต่าง ๆ
    • โรคความดันสูง
    • โรคอ้วนลงพุง

โดยพบว่าสาเหตุกว่า 70% ของโรคไต มาจากโรคเบาหวานและความดันสูง


  • ผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไต เช่น ดื่มน้ำน้อยเกินไป ชอบกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารรสเค็ม เป็นต้น
  • กินยา อาหารเสริม สมุนไพร อย่างไม่เหมาะสม หรือชอบซื้อยากินเอง ดังนั้นหากจำเป็นต้องซื้อกินเอง ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์แก้อาการปวดเมื่อย เช่น ยากลุ่ม NSAIDs และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ผู้ที่มีโรคอื่น ๆ เช่น โรคที่ร่างกายมีภูมิต้านทานผิดปกติและไปทำลายไต ไตอักเสบจากการติดเชื้อ โรคนิ่วในไต และโรคเก๊าท์ เป็นต้น

kidney-disease-screening-tests-3.jpg

เมื่อไหร่ที่ควรตรวจคัดกรองโรคไต?


เนื่องจากผู้ป่วยโรคไตมักไม่มีอาการให้เห็นในช่วงเริ่มต้น การตรวจคัดกรองโรคไตอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราทราบสุขภาพไต ทำให้สามารถป้องกัน ลดความเสี่ยง หรือช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งอาการที่อาจบ่งบอกว่ามีไตเสื่อมมีทั้งอาการของไตเสื่อมระยะเริ่มแรก และในระยะรุนแรงหรือระยะท้ายซึ่งอาการจะรุนแรงและชัดเจนมากขึ้น คือ


  • อาการไตเสื่อมระยะเริ่มแรก: มีปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน บวมกดบุ๋ม ปัสสาวะเป็นฟอง/เป็นเลือดปน
  • อาการไตเสื่อมระยะรุนแรง: เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ซีด เลือดจาง มีจ้ำ หรือรู้สึกคันตามตัว มีภาวะน้ำท่วมปอด ถ้าของเสียคั่งมากอาจทำให้สมองหยุดทำงานหรือมีอาการชักได้

ดังนั้นการคัดกรองโรคไตจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยและไม่ควรรอจนมีอาการผิดปกติก่อนแล้วจึงเข้ารับการตรวจ เพราะหากมีอาการชัดเจนแล้วแสดงว่าเนื้อเยื่อไตสูญเสียการทำงานไปมากแล้ว จะยิ่งทำให้ไม่สามารถรักษาหรือฟื้นฟูให้กลับมาใกล้เคียงปกติได้ อีกทั้งหากอาการรุนแรงจนถึงระยะสุดท้ายแล้ว ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและมีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษา นอกจากนี้การเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคนอกจากจะบอกทำงานของไตได้แล้ว ยังอาจตรวจพบโรคอื่น ๆ ที่แฝงอยู่ ซึ่งช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ ก่อนที่โรคจะลุกลามได้อีกด้วย


ข้อมูลเพิ่มเติม อาการของผู้ป่วยโรคไต


kidney-disease-screening-tests-4.jpg

ตรวจคัดกรองไต ตรวจอะไรบ้าง?


ดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่าการตรวจคัดกรองโรคไตมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปเพราะจะช่วยคัดกรอง และป้องกันภาวะไตวายที่รุนแรงและโรคไตชนิดอื่น ๆ โดยการตรวจคัดกรองโรคไตจะประกอบไปด้วย


  1. การตรวจเลือด ซึ่งจะบอกถึงการทำงานของไตและความเสี่ยงโรคไตที่ซ่อนอยู่ ได้แก่
    1. ระดับการทำงานของไต
    2. ความผิดปกติของเม็ดเลือด
    3. ระดับน้ำตาลในเลือด/น้ำตาลสะสมในเลือด
    4. ระดับไขมันในเลือด
  2. การตรวจปัสสาวะ และโปรตีนในปัสสาวะ โดยถ้ามีโปรตีนและเม็ดเลือดแดงปนอยู่ในปัสสาวะ จะแสดงถึงการทำงานของไตที่ผิดปกติ
  3. การตรวจอัลตร้าซาวน์ระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเป็นการตรวจที่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างและลักษณะของไต รวมไปถึงลักษณะหรือความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะได้ เช่น เนื้องอกของไต ก้อนที่ไต นิ่วที่ไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือการฉีกขาดของไตและทางเดินปัสสาวะ


การเตรียมตัวก่อนตรวจคัดกรองไต


  1. งดอาหารและเครื่องดื่ม 12 ชั่วโมงก่อนตรวจ
  2. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  3. การตรวจอัลตร้าซาวด์ระบบทางเดินปัสสาวะ จะต้องตรวจขณะที่ปวดปัสสาวะมากพอสมควร เพื่อจะได้เห็นกระเพาะปัสสาวะได้ชัดเจน ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ ก่อนตรวจเพื่อให้มีน้ำในกระเพาะปัสสาวะมาก ๆ
  4. หากมียาที่รับประทานประจำ ควรปรึกษาแพทย์ว่าจำเป็นต้องงดยาเหล่านั้นก่อนตรวจหรือไม่

kidney-disease-screening-tests-5.jpg

สรุป


เนื่องจากโรตไต เป็นโรคที่ไม่มีอาการแสดงในระยะแรก และจะแสดงอาการเมื่อไตสูญเสียการทำงานไปมากแล้ว ดังนั้นจึงควรตรวจคัดกรองโรคไตเป็นประจำ และหากตรวจพบความผิดปกติควรรีบรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อรักษาการทำงานของไตเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะหากประมาทและไม่สังเกตความผิดปกติของร่างกายจนเกิดภาวะไตวายระยะสุดท้าย จะต้องได้รับการรักษาโดยบำบัดทดแทนไต ได้แก่ การผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งจะต้องรอไตที่ได้รับบริจาคเป็นเวลานาน และต้องได้รับการฟอกไตผ่านเครื่องไตเทียม ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งยังมีผลต่อสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย



ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ผ่องพรรณ ทานาค

พญ. ผ่องพรรณ ทานาค

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital