บทความสุขภาพ

Knowledge

กระดูกเสื่อม! สัญญาณและอาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต

กระดูกเสื่อม (Osteoarthritis) หรือที่รู้จักกันในชื่อข้อเสื่อม เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ภาวะนี้เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนที่ทำให้ข้อต่อเกิดการเสียดสีกัน ส่งผลให้มีอาการปวด ข้อติดแข็ง และเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น เมื่อกระดูกเสื่อมเริ่มส่งสัญญาณผ่านอาการต่าง ๆ ผู้ป่วยอาจไม่ทันได้สังเกตหรือตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหากระดูกเสื่อม ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงอาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต เพื่อช่วยให้ทุกท่านได้สังเกตและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงสาเหตุ ความเสี่ยง การวินิจฉัย และการรักษากระดูกเสื่อม


กระดูกเสื่อม (Osteoarthritis) คืออะไร?

กระดูกเสื่อม หรือ ข้อเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะที่ข้อต่อและกระดูกบริเวณข้อต่อเริ่มเสื่อมลงตามอายุ โดยทั่วไปจะเกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนซึ่งทำหน้าที่ลดแรงเสียดทานระหว่างข้อต่อ เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน กระดูกที่อยู่ใต้กระดูกอ่อนจะเสียดสีกัน ทำให้เกิดอาการปวด ข้อติด และความยืดหยุ่นลดลง โดยกระดูกเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกข้อต่อ แต่พบมากในข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ และกระดูกสันหลัง ภาวะนี้มักพบในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในวัยกลางคนได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ข้อต่อหนัก ๆ หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก


อาการเบื้องต้นของกระดูกเสื่อมที่ควรสังเกต

การสังเกตอาการเบื้องต้นของกระดูกเสื่อมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและการรักษาได้เร็วขึ้น โดยอาการที่พบบ่อยในระยะเริ่มต้น ได้แก่


  • ปวดข้อเป็นระยะ ๆ: มักจะมีอาการปวดเมื่อขยับหรือใช้งานข้อต่อ เช่น การเดิน การยืน หรือการยกของหนัก โดยเฉพาะบริเวณข้อเข่า ข้อสะโพก และข้อมือ และอาการปวดอาจลดลงเมื่อได้พัก
  • ข้อติดแข็งหลังหยุดใช้งาน: เมื่อไม่ได้ขยับข้อต่อเป็นเวลานาน เช่น หลังตื่นนอน หรือการนั่งเป็นเวลานาน จะรู้สึกว่าข้อติด แข็ง ไม่สามารถขยับได้คล่องแคล่ว ต้องใช้เวลาสักระยะก่อนที่ข้อจะยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ข้อต่อบวม: ในระยะเริ่มต้นอาจมีการบวมที่ข้อต่อบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อข้อต่อถูกใช้งานมาก อาการบวมอาจเกิดจากการอักเสบภายในข้อต่อ
  • การเคลื่อนไหวของข้อต่อลดลง: การยืดหรือการหมุนข้อต่อทำได้ยากขึ้น เนื่องจากความยืดหยุ่นของข้อต่อลดลง ส่งผลต่อการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การนั่งยอง ๆ การเดินขึ้นบันได
  • เสียงกรอบแกรบเมื่อขยับข้อต่อ: เมื่อขยับข้อต่ออาจได้ยินเสียง “กรอบแกรบ” หรือ “เสียดสีกัน” เกิดจากการที่กระดูกข้อต่อเสียดสีกันโดยตรงและไม่มีการรองรับจากกระดูกอ่อนที่สึกหรอไป
  • ข้อต่ออ่อนแรงหรือรู้สึกไม่มั่นคง: ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าข้อต่ออ่อนแรง หรือการทรงตัวไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อรอบข้อต่อที่อ่อนแอลง เนื่องจากไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของกระดูกเสื่อม


  1. อายุ: กระดูกเสื่อมมักเกิดในผู้สูงอายุ เนื่องจากข้อต่อเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
  2. น้ำหนักตัวมาก: น้ำหนักที่มากทำให้ข้อต่อ โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพก รับภาระหนักขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระดูกเสื่อม
  3. การใช้งานข้อต่อซ้ำ ๆ: การทำงานหรือกิจกรรมที่ใช้ข้อต่ออย่างหนักเป็นเวลานาน เช่น การยกของหนัก หรือการเคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
  4. การบาดเจ็บที่ข้อต่อ: การบาดเจ็บที่ข้อต่อในอดีต เช่น อุบัติเหตุ อาจทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้น
  5. พันธุกรรม: ในบางกรณี กระดูกเสื่อมอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ ทำให้บางคนมีแนวโน้มที่จะเกิดกระดูกเสื่อมได้ง่ายกว่าผู้อื่น
  6. อาชีพ: ผู้ที่ทำงานที่ต้องยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ใช้งานข้อต่อมาก ๆ เช่น นักกีฬา ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน

การวินิจฉัยกระดูกเสื่อมทำอย่างไรบ้าง?

การวินิจฉัยกระดูกเสื่อมทำได้หลายวิธี เช่น


  • การซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามประวัติอาการปวด ประวัติการใช้งานข้อต่อ การบาดเจ็บที่ข้อต่อในอดีต รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น อายุ น้ำหนัก และการใช้งานข้อต่อในชีวิตประจำวัน
  • การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจสอบการเคลื่อนไหวของข้อต่อ อาการปวด การบวม และความยืดหยุ่นของข้อต่อที่อาจมีอาการเสื่อม
  • การเอกซเรย์ (X-ray): เป็นการตรวจที่จะช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของกระดูกข้อต่อ เช่น ช่องว่างระหว่างกระดูกที่แคบลง หรือการสึกหรอของกระดูกอ่อน โดยแพทย์สามารถใช้ภาพเหล่านี้เพื่อประเมินระดับของการเสื่อมของข้อ
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): หากการเอกซเรย์ยังไม่สามารถแสดงรายละเอียดที่ชัดเจนพอ แพทย์อาจพิจารณาการตรวจ MRI เพื่อดูภาพที่ละเอียดขึ้นของกระดูกอ่อน เนื้อเยื่อข้อต่อ และกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อต่อ
  • การตรวจของเหลวในข้อต่อ (Joint Fluid Analysis): ในบางกรณี แพทย์อาจเจาะเอาของเหลวในข้อต่อไปตรวจ เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือภาวะอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบหรือไม่
  • การตรวจเลือด: แม้จะไม่ใช้การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโดยตรง แต่อาจใช้เพื่อตรวจหาภาวะที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคเกาต์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อข้อต่อได้เช่นกัน

การรักษากระดูกเสื่อม

การรักษากระดูกเสื่อมมีหลายวิธี ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาโดยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปเป้าหมายหลักของการรักษาจะเป็นการบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้น ๆ ให้ดีขึ้น ซึ่งวิธีการรักษามีดังนี้


การใช้ยา


  • ยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
  • ยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง
  • หากมีการอักเสบรุนแรง แพทย์อาจใช้การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าสู่ข้อต่อเพื่อบรรเทาการอักเสบ

การออกกำลังกาย


  • การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือการยืดเหยียดข้อต่อ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อได้
  • การออกกำลังกายแบบเฉพาะทาง เช่น กายภาพบำบัด สามารถช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ลดอาการปวด และป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง

การควบคุมน้ำหนัก


  • การลดน้ำหนักเป็นสิ่งสำคัญในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เนื่องจากจะช่วยลดแรงกดที่ข้อต่อ เช่น ข้อเข่าและข้อสะโพก ทำให้อาการปวดลดลง

การทำกายภาพบำบัด


  • กายภาพบำบัดเป็นการรักษาที่เน้นการฟื้นฟูการทำงานของข้อต่อโดยการเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อต่อและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ

การผ่าตัด


  • ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมหรือข้อสะโพกเทียมอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยได้

ทั้งนี้การรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ จะต้องได้รับการพิจารณาร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและแพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด


การดูแลตัวเองเมื่อมีกระดูกเสื่อม

การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการกระดูกเสื่อม ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์และรับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง


การป้องกันกระดูกเสื่อม


  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: เพื่อลดภาระที่ข้อต่อ โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพก
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อต่อ เช่น การว่ายน้ำและโยคะ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อกระดูก: ได้แก่ อาหารที่มีแคลเซียม วิตามิน D และโอเมก้า-3
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ข้อต่อบาดเจ็บ: เช่น การยกของหนัก การใช้งานข้อต่อมากเกินไป
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อฟื้นฟูข้อต่อและกล้ามเนื้อ
  • ตรวจสุขภาพข้อต่อเป็นประจำ: พบแพทย์เพื่อการตรวจคัดกรองข้อเสื่อมและรับคำแนะนำในการดูแลข้อต่ออย่างสม่ำเสมอ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระดูกเสื่อม (FAQs)


1. กระดูกเสื่อมคืออะไร?

  • กระดูกเสื่อมคือภาวะที่กระดูกอ่อนในข้อต่อเสื่อมลง ทำให้เกิดการปวดและเคลื่อนไหวลำบาก พบได้บ่อยในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ใช้งานข้อต่อมากเกินไป

2. อาการของกระดูกเสื่อมเป็นอย่างไร?

  • อาการหลักคือปวดข้อต่อ ข้อติดแข็ง โดยเฉพาะหลังจากการพัก การได้ยินเสียงข้อลั่น และการเคลื่อนไหวที่จำกัด

3. ใครมีความเสี่ยงเป็นกระดูกเสื่อมมากที่สุด?

  • ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บที่ข้อต่อ และผู้ที่ใช้งานข้อต่อมาก ๆ เช่น นักกีฬา

4. กระดูกเสื่อมรักษาได้ไหม?

  • แม้ว่าโรคกระดูกเสื่อมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาสามารถช่วยบรรเทาอาการและชะลอความเสื่อมของข้อต่อได้

5. มีอาหารที่ช่วยบรรเทาอาการกระดูกเสื่อมไหม?

  • อาหารที่มีสารต้านการอักเสบ เช่น ปลาที่มีกรดไขมันสูง (แซลมอน ทูน่า) ผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C และ E ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการได้

6. ควรออกกำลังกายแบบไหนถ้ามีกระดูกเสื่อม?

  • การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น ว่ายน้ำ โยคะ หรือการเดินในน้ำ จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อและช่วยลดอาการปวด

สรุป

ปัญหากระดูกเสื่อมเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยอาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต ได้แก่ อาการปวดข้อที่เกิดขึ้นเมื่อใช้งานข้อต่อ ข้อติดแข็งหลังจากหยุดใช้งาน ข้อต่อบวม การเคลื่อนไหวของข้อต่อลดลง เสียงกรอบแกรบเมื่อขยับข้อต่อ และความรู้สึกอ่อนแรงหรือไม่มั่นคงของข้อต่อ หากพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพราะการตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การดูแลและการจัดการอาการเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพและความสุขมากยิ่งขึ้น



บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital