บทความสุขภาพ

Knowledge

กรวยไตอักเสบ อาการที่ไม่ควรมองข้าม ต้องรักษาอย่างทันท่วงที

พญ. ชโลธร แต้ศิลปสาธิต

ไตเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เพราะช่วยแยกของเสียออกจากเลือด ก่อนจะขับออกมาในรูปแบบปัสสาวะ แต่รู้หรือไม่ว่าอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ปัสสาวะเเสบขัด ปวดท้อง ปวดหลัง อาจเป็นสัญญาณของโรคไตที่ร้ายแรง หรือ “กรวยไตอักเสบ” ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ และหากปล่อยเอาไว้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต


แม้ว่ากรวยไตอักเสบจะเป็นอาการที่พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะของเพศหญิงมีขนาดสั้นกว่าจึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเพศชายจะไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรค มาทำความรู้จักอาการกรวยไตอักเสบให้มากขึ้น เพื่อให้รู้เท่าทันโรคและสามารถเข้ารับการรักษาก่อนเชื้อจะลุกลามจนเป็นอันตราย


Key Takeaways


  • กรวยไตอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ระบบทางเดินปัสสาวะ โดยส่วนมากมักเกิดจากแบคทีเรียอีโคไล (E.Coli) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถพบได้ในลำไส้ของมนุษย์
  • อาการผิดปกติที่พบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคดังกล่าว เช่น มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะเเสบขัด ปวดท้องน้อยหรือหลัง
  • ผู้หญิงมีความเสี่ยงเป็นกรวยไตอักเสบมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า
  • การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ไม่อั้นปัสสาวะและรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศช่วยป้องกันการติดเชื้อ
  • วิธีการรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียสามารถรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะตามคำสั่งของแพทย์ อาจใช้ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางสายเลือด หรือการให้ยาปฏิชีวนะทางสายเลือดเพียงอย่างเดียว ร่วมกับการติดตามการรักษาประคองอาการอย่างใกล้ชิด

กรวยไตอักเสบคืออะไร? เกิดจากอะไร?


กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื้อที่กรวยไต ซึ่งส่วนมากจะเกิดจากแบคทีเรีย Escherichia coli หรือที่เรียกกันว่า อีโคไล (E.Coli) เป็นแบคทีเรียช่วยย่อยอาหารที่สามารถพบได้ทั่วไปตามลำไส้ของมนุษย์และสัตว์บางชนิด แต่กรณีที่กรวยไตได้รับเชื้อแบคทีเรียอีโคไลจากภายนอก จะทำให้เกิดการติดเชื้อและโรคร้ายแรงตามมา


โดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อจะเริ่มจากท่อปัสสาวะ (urethra) ซึ่งเป็นทางออกของปัสสาวะจากร่างกาย จากนั้นเชื้อแบคทีเรียสามารถขึ้นไปตามทางเดินปัสสาวะจนถึงกระเพาะปัสสาวะ (bladder) และหากไม่ได้รับการรักษาหรือมีปัจจัยที่เสี่ยงอื่น ๆ เชื้อจะสามารถขึ้นไปถึงกรวยไต (renal pelvis) และไตได้ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบที่ไตหรือกรวยไต


ซึ่งโรคกรวยไตอักเสบสามารถแบ่งอาการคร่าว ๆ ออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่


  • กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pyelonephritis) : ภาวะการติดเชื้อบริเวณกรวยไตที่แสดงอาการออกมาอย่างรุนแรง โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บแสบเวลาปัสสาวะ พร้อมกับอาการมีไข้ ปวดหลัง ซึ่งหากตรวจพบจะสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์
  • กรวยไตอักเสบเรื้อรัง (Chronic Pyelonephritis) : เป็นภาวะการติดเชื้อบริเวณกรวยไตเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อซ้ำ ๆ หรือการติดเชื้อที่ไม่ได้เข้ารับการักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งอาการอักเสบเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เซลล์ไตถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง อาจจะต้องฟอกไตไปตลอดชีวิต

กรวยไตอักเสบมีอาการอย่างไร?


unnamed.png

ผู้ป่วยโรคกรวยไตอักเสบมักจะมีอาการผิดปกติที่พบได้บ่อย ดังนี้


  • ปัสสาวะบ่อย มีอาการปวดแสบหรือติดขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะออกมากะปริดกะปรอย
  • ปัสสาวะออกมามีกลิ่นเหม็น มีสีขุ่น
  • ขณะปัสสาวะมีเลือดหรือหนองปะปนออกมา (Hematuria)
  • ปวดท้อง ปวดช่วงบั้นเอว และอาจมีอาการปวดปัสสาวะตลอดเวลาจนกลั้นไม่อยู่
  • ผู้ป่วยกรวยไตอักเสบมักมีอาการหนาวสั่น มีไข้ขึ้นสูงพร้อมอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
  • มีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกเบื่ออาหาร
  • มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน

อาการดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงโรคกรวยไตอักเสบ หากสังเกตตัวเองแล้วพบลักษณะอาการที่เข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคกรวยไตอักเสบ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยอาการและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียอาจมีความรุนแรงจนกลายเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต


อ่านสาระเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับไตได้ที่ : อาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคไต


กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกรวยไตอักเสบ


unnamed (1).png

กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกรวยไตอักเสบ มีปัจจัยที่ส่งผลให้คนกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่ากลุ่มอื่น จึงนับว่ากลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้ควรเฝ้าสังเกตอาการและเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อพบเจอความผิดปกติ


  • ผู้หญิง : ตามลักษณะสรีระร่างกายของผู้หญิงจะมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่าของผู้ชาย รวมถึงท่อปัสสาวะของผู้หญิงอยู่ใกล้กับทวารหนักมากกว่า ส่งผลให้แบคทีเรียมีโอกาสปนเปื้อนมายังท่อปัสสาวะ ซึ่งอาจขึ้นไปยังกระเพาะปัสสาวะ เเละนำไปสู่การติดเชื้อของกรวยไตได้ โดยผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่พบการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้บ่อยที่สุด
  • สตรีมีครรภ์ : ระหว่างการตั้งครรภ์จะเกิดจากเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่างๆ เช่น มีการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งจะทำให้ท่อปัสสาวะหย่อนคลาย และมดลูกที่อาจขยายตัวจนบีบกดทางเดินปัสสาวะทำให้ปัสสาวะไม่สามารถไหลผ่านได้ทำให้มีการเจริญของเเบคทีเรียมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นกรวยไตอักเสบเพิ่มมากขึ้น
  • ภาวะวัยหมดประจำเดือน : เป็นช่วงที่ผู้หญิงถึงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ลดลงส่งผลให้มีการเจริญผิดปกติของเเบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะและช่องคลอด รวมถึงมีการเปลี่ยนเเปลงของผนังท่อปัสสาวะเเละช่องคลอด ซึ่งอาจขึ้นไปยังกระเพาะปัสสาวะ เเละนำไปสู่การติดเชื้อของกรวยไตได้
  • ผู้ที่มีปัญหาในการถ่ายปัสสาวะ : คนกลุ่มนี้มักไม่สามารถถ่ายปัสสาวะออกไปจนหมด เนื่องจากการตีบตันของกระเพาะปัสสาวะ หรือตีบตันท่อไตจนมีอาการอักเสบและติดเชื้อตามมา รวมถึงคนที่ใส่สายสวนปัสสาวะเป็นระยะเวลานาน
  • ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเป็นโรคเบาหวาน ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ใช้ยาสเตียรอยด์ คนกลุ่มนี้จะมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากอาการป่วย ทำให้เกิดอาการแทกซ้อนเนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียออกไปได้ ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

วิธีการป้องกันโรคกรวยไตอักเสบ


unnamed (2).png

วิธีการป้องกันโรคกรวยไตอักเสบช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อมีน้อยลง โดยขั้นตอนปฏิบัติต่าง ๆ สามารถทำได้ดังนี้


  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอทุกวัน ช่วยให้ร่างกายขับแบคทีเรียออกมาทางปัสสาวะ
  • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเมื่อรู้สึกปวด เนื่องจากการกลั้นปัสสาวะจะทำให้เกิดการคงค้างของปัสสาวะในกระเพาะเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้มีการเเบ่งตัวของเเบคทีเรียในปัสสาวะได้ นำมาสู่การติดเชื้อต่อไป
  • รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศให้ถูกวิธี ด้วยการทำความสะอาดจากทางด้านหน้าไปยังทวารหนัก เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่มาจากทวารหนัก หรือการปัสสาวะหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ก็มีส่วนช่วยในการขับเชื้อเเบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะได้
  • ผู้หญิงไม่ควรสวนล้างช่องคลอดด้วยตัวเอง เพราะอาจเป็นการทำลายสมดุลของเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ภายในช่องคลอด ทำให้มีการเจริญของเเบคทีเรียผิดปกติ ส่งผลให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ หากพบอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปัสสาวะเเสบขัด มีเลือดปนออกมา ควรเข้าพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ


กรวยไตอักเสบมีวิธีการรักษาอย่างไร?


แนวทางการรักษาโรคกรวยไตอักเสบมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการ หลังจากเข้าพบแพทย์จะมีการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการตรวจปัสสาวะ และตรวจเลือดหาเชื้อแบคทีเรีย หลังผลการวินิจฉัยผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสม


  • การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน : จากผลวินิจฉัยที่ออกมาทางแพทย์จะกำหนดชนิดของยาปฏิชีวนะ เช่น ยากลุ่มควิโนโลน (Quinolones) ให้เหมาะกับประเภทของแบคทีเรีย ระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรับประทานยา ส่วนมากจะต้องทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลาต่อเนื่องกัน 7-14 วัน หรือตามคำสั่งแพทย์ ขึ้นอยู่กับประเภทของยาที่เลือกใช้ ความรุนเเรงของโรค อาจร่วมกับการฉีดยาด้วย
  • การรักษาด้วยการให้ยาทางหลอดเลือด : เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไตติดเชื้ออย่างรุนแรง รับประทานยาปฏิชีวนะแล้วไม่ได้ผล หรือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนเเรง โดยแพทย์จะทำการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าทางเส้นเลือดดำ โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีการสังเกตอาการโดยเเพทย์เเละพยาบาลอย่างใกล้ชิด รวมถึงอาจให้น้ำเกลือร่วมกับยารักษาอาการอื่น ๆ
  • การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด : เป็นวิธีการรักษาอาการกรวยไตอักเสบที่มีสาเหตุจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อในไตที่อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เช่น เกิดฝีที่ไต อาจถึงขั้นต้องพิจารณาขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อเอาตัวนิ่วที่พบออก เพื่อการใส่ท่อระบายปัสสาวะจากทางเดินปัสสาวะส่วนบน หรืออาจพิจารณาการตัดเนื้อไตออกหากมีการติดเชื้อที่รุนเเรงมาก

กรวยไตอักเสบ ตรวจเจอเร็ว รักษาหายก่อนลุกลามได้ที่โรงพยาบาลพระราม 9


กรวยไตอักเสบ เป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่ควรมองข้าม และไม่ควรทนเจ็บเวลาปัสสาวะเพราะคิดว่าจะหายเอง เนื่องจากอาการติดเชื้อแบคทีเรียอาจลุกลามและเป็นอันตราย การสังเกตพบความผิดปกติเวลาปัสสาวะและเข้าพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง


หากพบว่าตนเอง หรือคนในครอบครัวมีความเสี่ยงเป็นโรคกรวยไตอักเสบ สามารถมาปรึกษากับเราที่ สถาบันโรคไต โรงพยาบาลพระราม 9 เรามีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคไตโดยเฉพาะ และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันทำงานเป็นสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team) เพื่อดูแลคุณและครอบครัวให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



References


Chivima B. (2014). Pyelonephritis. Nursing standard (Royal College of Nursing (Great Britain) : 1987), 28(23), 61. https://doi.org/10.7748/ns2014.02.28.23.61.s51


Johnson, JR. & Russo, TA. (2018). Acute Pyelonephritis in Adults. The New England journal of medicine, 378(1), 48–59. https://doi.org/10.1056/nejmcp1702758


Rollino, C., Beltrame, G., Ferro, M., Quattrocchio, G., & Quarello, F. (2012). Le pielonefriti [Pyelonephritis]. Giornale italiano di nefrologia : organo ufficiale della Societa italiana di nefrologia, 29 Suppl 56, S21–S27. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23059936

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ชโลธร แต้ศิลปสาธิต

พญ. ชโลธร แต้ศิลปสาธิต

สถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต โรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital