บทความสุขภาพ

Knowledge

โรคไตระยะ 5 อยู่ได้นานแค่ไหน? คำแนะนำเพื่อการรักษาที่เหมาะสม

พญ. สุธานิธิ เลาวเลิศ

ไตเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่มีหน้าที่ในการกำจัดของเสีย รวมถึงควบคุมดุลสมดุลน้ำ และเกลือแร่ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงยังเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ด้วย ดั้งนั้นหากมีความผิดปกติของไต ก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายต่าง ๆ ตามมา


โรคไตระยะ 5 หรือโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่ไตเสื่อมสภาพจนไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมสมดุลน้ำหรือแร่ธาตุในร่างกายได้ ทำให้มีของเสียสะสมในเลือดจนส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ใผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย


คำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยว่า “ผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน?” บทความนี้จะอธิบายข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับโรคไตระยะ 5 ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการรักษา การดูแลตัวเอง รวมถึงคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อเตรียมพร้อมและวางแผนการดูแลสุขภาพให้เหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย


ระยะของโรคไตเรื้อรัง

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) แบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับค่าการกรองของไต (Glomerular Filtration Rate: GFR) โดยมีรายละเอียดดังนี้


ระยะที่ 1: การทำงานของไตยังปกติ


  • ค่าการกรองของไต (GFR): มากกว่า 90 มล./นาที
  • ลักษณะสำคัญ: ไตยังทำงานได้ดี บางรายอาจเริ่มสัญญาณของการเสียหาย เช่น โปรตีนรั่วในปัสสาวะ หรือพบความผิดปกติจากภาพถ่ายรังสี
  • การดูแล: ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีผลต่อการทำงานของไต

ระยะที่ 2: การทำงานของไตลดลงเล็กน้อย


  • การกรองของไต (GFR): 60-89 มล./นาที
  • ลักษณะสำคัญ: ไตเริ่มเสียหายมากขึ้น แต่ยังไม่มีอาการชัดเจน
  • การดูแล: ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควบคุมอาหาร ลดอาหารประเภทโปรตีน โซเดียม

ระยะที่ 3: การทำงานของไตลดลงปานกลาง


  • การกรองของไต (GFR): 30-59 มล./นาที
  • ลักษณะสำคัญ: เริ่มมีอาการของโรคไต เช่น อ่อนเพลีย บวมตามร่างกาย และปัสสาวะผิดปกติ
  • การดูแล: ควรปรึกษาแพทย์ และควบคุมอาหาร รวมถึงดูแลสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์

ระยะที่ 4: การทำงานของไตลดลงอย่างรุนแรง


  • การกรองของไต (GFR): 15-29 มล./นาที
  • ลักษณะสำคัญ: มีอาการของโรคไตชัดเจน เช่น บวมมากขึ้น มีความดันโลหิตสูง และเริ่มมีของเสียสะสมในร่างกาย
  • การดูแล: ผู้ป่วยควรเตรียมตัวสำหรับการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต และการติดตามกับอายุรแพทย์โรคไตอย่างใกล้ชิด

ระยะที่ 5: ไตล้มเหลว หรือโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย


  • การกรองของไต (GFR): น้อยกว่า 15 มล./นาที
  • ลักษณะสำคัญ: ไตไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ทำให้มีของเสียสะสมในเลือด และมีอาการของโรคไตรุนแรง เช่น หายใจลำบาก คลื่นไส้ และเบื่ออาหาร
  • การดูแล: ผู้ป่วยนะยะนี้ต้องพึ่งพาการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

โรคไตระยะ 5 คืออะไร?


โรคไตระยะ 5 (End-Stage Renal Disease: ESRD) เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) ที่การทำงานของไตลดลงเหลือไม่ถึง 15% ส่งผลให้ไตไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้


สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคไตระยะ 5 ได้แก่


  1. โรคเบาหวาน – น้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่อง จะไปทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้หลอดเลือดในไตเสียหาย
  2. โรคความดันโลหิตสูง – ความดันโลหิตที่สูงเกินไปทำให้ไตทำงานหนัก 1และเกิดความเสียหาย
  3. การอักเสบของไต เช่น โรคไตอักเสบเรื้อรังหรือภาวะไตอักเสบจากโรคภูมิคุ้มกัน
  4. นิ่วในไตเรื้อรัง – ทำให้มีการอุดตันหรือการติดเชื้อที่รุนแรง ซึ่งทำให้ไตเสียหาย

อาการของโรคไตเรื้อรัง


โรคไตเรื้อรังมักดำเนินโรคอย่างช้า ๆ มักไม่มีอาการเด่นชัดในระยะแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาจพบอาการต่าง ๆ เช่น


  1. ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน ปัสสาวะมีฟอง หรือปัสสาวะน้อยลง
  2. บวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เท้า ขา หรือใบหน้า
  3. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก
  4. คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  5. คันตามผิวหนัง ผิวแห้ง หรือมีสีคล้ำกว่าปกติ
  6. หายใจลำบากหรือแน่นหน้าอก โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะน้ำท่วมปอด
  7. ความดันโลหิตสูงที่คุมไม่ได้

หากเริ่มสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ


อาการของโรคไตระยะ 5


โรคไตระยะ 5 หรือระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างรุนแรงจนไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้อีกต่อไป อาการในระยะนี้มักรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก โดยอาการที่พบได้ในระยะนี้ได้แก่


1. อาการเนื่องจากมีของเสียสะสมในร่างกาย (Uremia)


  • เหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย – เนื่องจากของเสียในเลือด ส่งผลให้ร่างกายทำงานผิดปกติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร – เกิดจากระบบทางเดินอาหารที่ได้รับผลกระทบจากของเสียที่คั่งในร่างกาย
  • ปวดศีรษะและมึนงง – การสะสมของของเสียทำให้มีอาการผิดปกติของระบบประสาท
  • มีรสขมในปากหรือกลิ่นปากเหมือนแอมโมเนีย – เนื่องจากสารยูเรียซึ่งเป็นของเสียในเลือดสะสมในร่างกาย

2. อาการบวมจากการสะสมน้ำในร่างกาย


  • บวมตามขาและเท้า – จากการสะสมของของเหลวในร่างกาย
  • บวมที่ใบหน้าและรอบดวงตา
  • หายใจลำบาก – น้ำที่สะสมในปอดทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด

3. อาการทางหัวใจและหลอดเลือด


  • ความดันโลหิตสูง – จากการที่ไตไม่สามารถควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกายได้
  • หัวใจเต้นผิดปกติ – จากระดับโพแทสเซียมในเลือดที่สูงเกินไป (Hyperkalemia) เพราะไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมได้

4. ภาวะโลหิตจาง (Anemia)


  • อาการซีดและเหนื่อยล้า – เนื่องจากไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมน erythropoietin ที่กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดแดงได้
  • อาการหนาวง่ายและเวียนศีรษะ

5. อาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ


  • เป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้อกระตุกบ่อย – เนื่องจากความไม่สมดุลของแร่ธาตุในเลือด เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส
  • มือและเท้าชา – จากระบบประสาทที่ถูกทำลายโดยของเสีย

6. อาการทางผิวหนัง


  • คันทั่วร่างกาย – ซึ่งมักเกิดจากระดับฟอสฟอรัสในเลือดที่สูง
  • ผิวแห้งและลอกง่าย – เนื่องจากภาวะของเสียสะสมในร่างกายมาก


7. อาการทางจิตใจและอารมณ์


  • นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท – เนื่องจากความไม่สบายตัวและภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic Acidosis)
  • ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล – เพราะผลกระทบจากโรคที่รบกวนชีวิตประจำวัน

อาการที่ต้องรีบไปพบแพทย์


อาการบางอย่างในโรคไตระยะ 5 อาจเป็นสัญญาณฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ได้แก่


  • หายใจลำบากหรือแน่นหน้าอก
  • บวมมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิต
  • คลื่นไส้ อาเจียนมากจนกินอาหารไม่ได้
  • มีอาการสับสนหรือหมดสติ

หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที


โรคไตระยะ 5 อยู่ได้นานแค่ไหน


อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น วิธีการรักษา สุขภาพโดยรวม และการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม


1. หากไม่ได้รับการรักษา


ผู้ป่วยโรคไตระยะ 5 ที่ไม่ได้รับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ถึงไม่กี่เดือน เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขจัดของเสียและรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายไว้ได้


2. หากได้รับการฟอกไตอย่างต่อเนื่อง


ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไตอย่างเหมาะสมสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ปี แต่บางรายสามารถอยู่ได้มากกว่า 20 ปี หากดูแลสุขภาพอย่างดี


3. การปลูกถ่ายไต


การปลูกถ่ายไตช่วยเพิ่มอายุขัยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น โดยเฉลี่ย 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังการผ่าตัด รวมถึงเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย เนื่องจากเป็นวิธีการบำบัดทดแทนไตที่ดีที่สุด


ปัจจัยที่มีผลต่ออาการและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยโรคไตระยะ 5


  1. อายุของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่อายุน้อยมักมีโอกาสอยู่ได้นานกว่าผู้สูงอายุ
  2. โรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ
  3. การปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์: การรับประทานยา การฟอกไตตรงตามเวลาที่กำหนด และการควบคุมอาหาร
  4. การสนับสนุนจากครอบครัว: กำลังใจและความช่วยเหลือจากคนรอบข้างมีผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย

ทางเลือกการรักษาของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 5


เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะ 5 ของโรคไตเรื้อรัง การรักษามีเป้าหมายหลักเพื่อทดแทนการทำงานของไตที่เสื่อมสภาพไป โดยมี 2 วิธีสำคัญดังนี้


1. การฟอกไต (Dialysis)


การฟอกไตเป็นกระบวนการกำจัดของเสีย ของเหลวส่วนเกิน และสารพิษออกจากร่างกาย โดยเป็นการทำงานแทนการทำงานของไต วิธีนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่


  • การฟอกเลือด (Hemodialysis) ใช้เครื่องฟอกเลือดที่ต่อเข้ากับหลอดเลือดของผู้ป่วย เพื่อกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด การรักษาด้วยวิธีการนี้ต้องทำในโรงพยาบาลหรือในศูนย์ฟอกไต โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องฟอกไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง
  • การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) เป็นการใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย โดยผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยการเติมน้ำยาล้างไตเข้าสู่ช่องท้องผ่านสายสวนพิเศษ แล้วปล่อยให้น้ำยาดูดซับของเสียก่อนจะระบายออก กระบวนการนี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วันละหลายครั้งหรืออาจทำในขณะนอนหลับ

2. การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)


การปลูกถ่ายไตคือการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เสียไปด้วยไตใหม่จากผู้บริจาค ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว ข้อดีของวิธีนี้คือช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องพึ่งพาการฟอกไตอีกต่อไป แต่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันร่างกายต่อต้านไตใหม่


ข้อดีและข้อจำกัดของการปลูกถ่ายไต


  • ข้อดี: ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นและลดข้อจำกัดในชีวิตประจำวัน
  • ข้อจำกัด: การรอผู้บริจาคอาจใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดหรือภาวะแทรกซ้อนจากยากดภูมิคุ้มกัน

การเลือกแนวทางการรักษา


การตัดสินใจเลือกรูปแบบการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ความสะดวกในการเข้าถึงการรักษา และความพร้อมทางด้านจิตใจและเศรษฐกิจ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด


การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะ 5


การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมในโรคไตระยะ 5 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้


1. ปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด


  • เข้ารับการฟอกไตตามตารางที่แพทย์กำหนด ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเลือดหรือการล้างไตทางช่องท้อง
  • พบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามการทำงานของไตและสุขภาพโดยรวม

2. ควบคุมอาหารและน้ำดื่ม


  • ลดการบริโภคโซเดียม (เกลือ): จะช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดการบวมน้ำ
  • จำกัดปริมาณน้ำดื่ม: เพื่อป้องกันภาวะน้ำท่วมปอด โดยแพทย์จะกำหนดปริมาณที่เหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน
  • ลดการบริโภคโปรตีน: ลดการบริโภคโปรตีนที่ย่อยยาก เลือกโปรตีนที่ย่อยง่ายและมีคุณภาพ เช่น ปลา ไข่ขาว แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่แพทย์แนะนำ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง: เช่น กล้วย มันฝรั่ง มะเขือเทศ หรือแตงโม เพราะอาจทำให้โพแทสเซียมในเลือดสูงจนเป็นอันตรายได้
  • ลดฟอสฟอรัส: หลีกเลี่ยงนม ชีส หรืออาหารแปรรูป

3. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง


  • ยาลดความดันโลหิต ยาควบคุมโพแทสเซียม ยาขับปัสสาวะ และยาป้องกันภาวะกระดูกพรุน ต้องรับประทานตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดหรือยาที่มีผลต่อไต เช่น ยากลุ่ม NSAIDs โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หากจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

4. ดูแลร่างกายและจิตใจ


  • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ: ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: ลดความเครียดและนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • ออกกำลังกายเบา ๆ: เช่น เดินหรือโยคะ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย


5. ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญหากมีข้อสงสัยหรือมีการการผิดปกติ


  • ปรึกษานักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก บวมมากขึ้น หรืออ่อนเพลีย ควรรีบไปพบแพทย์


6. สนับสนุนจากครอบครัวและคนรอบข้าง


  • การให้กำลังใจและสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยมีจิตใจที่เข้มแข็งและพร้อมเผชิญกับโรคได้


7. เรียนรู้เกี่ยวกับโรค


  • การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไตและการรักษา จะช่วยให้ผู้ป่วยทราบแผนการรักษา และมีส่วนร่วมในการวางแผนและดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างถูกต้อง


การดูแลตัวเองในโรคไตระยะ 5 อาจจะดูซับซ้อน แต่หากมีความเข้าใจและมีการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไตระยะ 5


  1. โรคไตระยะ 5 คืออะไร? เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง ไตเสื่อมสภาพทำงานได้ต่ำกว่า 15% ไม่สามารถกรองของเสียและขจัดน้ำส่วนเกินจากร่างกายได้ ผู้ป่วยต้องพึ่งการรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต
  2. โรคไตระยะ 5 อยู่ได้นานแค่ไหน? ขึ้นอยู่กับการรักษา การดูแลตัวเอง และสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวม ผู้ที่ได้รับการฟอกไตอย่างเหมาะสมสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี ส่วนการปลูกถ่ายไตช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการฟอกไต
  3. อาการของโรคไตระยะ 5 มีอะไรบ้าง? อาการที่พบบ่อยคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี บวมตามร่างกาย เช่น ขาและใบหน้า หายใจลำบาก นอนไม่หลับ คันทั่วตัว และอาจมีภาวะซึมเศร้าหรือความจำเสื่อม
  4. การฟอกไตมีผลข้างเคียงหรือไม่? มีผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น ความดันโลหิตต่ำ ตะคริวกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายฟอกไต แต่สามารถลดผลข้างเคียงได้ด้วยการดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
  5. การปลูกถ่ายไตเหมาะกับทุกคนหรือไม่? การปลูกถ่ายไตเหมาะกับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 5 ที่มีร่างกายแข็งแรงพอ ไม่มีโรคร้ายแรงอื่น เช่น มะเร็งหรือการติดเชื้อรุนแรง และต้องสามารถรับประทานยากดภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิต (ทั้งนี้ขึ้นกับผลการตรวจประเมินจากอายุรแพทย์โรคไต)
  6. อาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงมีอะไรบ้าง? ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น อาหารแปรรูป น้ำปลา และขนมขบเคี้ยว อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มันฝรั่ง และมะเขือเทศ รวมถึงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น นม ชีส และถั่ว
  7. โรคไตระยะ 5 ป้องกันได้หรือไม่? สามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเป็นเวลานาน และตรวจสุขภาพประจำปี
  8. การรักษาแบบไหนเหมาะที่สุดสำหรับโรคไตระยะ 5? การฟอกไตเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถปลูกถ่ายไตได้ ส่วนการปลูกถ่ายไตเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ไม่ต้องพึ่งการฟอกไตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สรุป


โรคไตระยะ 5 เป็นภาวะที่ไตเสื่อมจนไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียและขจัดน้ำส่วนเกินจากร่างกายได้ ผู้ป่วยต้องพึ่งการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตเพื่อรักษาชีวิต ระยะเวลาในการอยู่รอดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การรักษาที่ได้รับ การดูแลตัวเอง รวมถึงสุขภาพโดยรวม หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด จะช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


นอกจากนี้การดูแลตัวเองและการสนับสนุนจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้




เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. สุธานิธิ เลาวเลิศ

พญ. สุธานิธิ เลาวเลิศ

สถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต โรงพยาบาลพระรามเก้า

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (1)

ดูทั้งหมด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

฿ 990 - 3,690

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital