บทความสุขภาพ

Knowledge

เลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน: อาการเป็นอย่างไร? รักษาได้อย่างไรบ้าง?

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่พบมากในผู้สูงอายุ เพศชาย และผู้ที่มีโรคประจำตัว การเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน ช่วยให้คุณสามารถสังเกตอาการ ดูแลตัวเอง และเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากปล่อยไว้จนมีเลือดออกหรือเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดภาวะช็อกหรือเสียชีวิตจากภาวะเเทรกซ้อนจากการเสียเลือดได้


ทางเดินอาหารคืออะไร?


ระบบทางเดินอาหาร คือระบบของอวัยวะของร่างกายในการลำเลียงและย่อยอาหาร ตั้งแต่ปากไปถึงทวารหนัก โดยในระบบทางเดินอาหารจะประกอบด้วยหลาย ๆ อวัยวะที่ทำงานเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก อวัยวะเหล่านี้ทำหน้าที่ลำเลียงและบีบตัวนำพาอาหารไปผ่านกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมจากนั้นกากอาหารจะถูกทำให้กลายเป็นอุจจาระ และขับถ่ายไปยังสำไส้ตรงเเละทวารหนัก


ทางเดินอาหารส่วนบน หรือส่วนต้น


ทางเดินอาหารส่วนบนหรือส่วนต้นประกอบไปด้วย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร จนถึงลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะติดต่อกับตับอ่อนเเละท่อน้ำดี โดยตับอ่อนจะผลิตและหลั่งน้ำย่อยมาย่อยอาหารที่บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีการย่อยอาหารมากที่สุด


ทางเดินอาหารส่วนล่าง


ทางเดินอาหารส่วนล่างประกอบไปด้วย ลำไส้เล็กส่วนกลางและส่วนปลาย ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง เเละทวารหนัก โดยลำไส้เล็กส่วนกลางและส่วนปลาย ทำหน้าที่หลักในการดูดซึมสารอาหาร เเร่ธาตุ เข้าสู่ร่างกายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ และลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่ในการดูดน้ำซึมน้ำจากกากอาหารและดูดซึมวิตามินบางชนิด และผลิตอุจจาระเพื่อขับถ่ายออกจากร่างกาย


ภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบนคืออะไร?


ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน (upper gastrointestinal bleeding; UGIB) คือภาวะความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารส่วนบน จนทำให้มีเลือดออก ซึ่งหากมีเลือดออกมากอาจทำให้ร่างกายเสียเลือดมากจนความดันตกหรือช็อกได้ และอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายต่าง ๆ


สาเหตุของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน


ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจแบ่งได้ดังนี้


สาเหตุเลือดออกในหลอดอาหาร


  • ภาวะโป่งพองและเเตกของหลอดเลือดดำในหลอดอาหาร (rupture esophageal varices) จากการมีหลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร ซึ่งมักพบในผู้ที่มีภาวะตับแข็ง (cirrhosis)
  • โรคหลอดอาหารอักเสบ (esopagitis) โดยมักมีสาเหตุสำคัญมาจากโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease; GERD)
  • โรคมะเร็งในหลอดอาหาร (esophageal cancer)
  • Mallory-Weiss Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่มีการฉีกขาดของรอยต่อระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร โดยมักพบในผู้ป่วยที่มีประวัติอาเจียนหลาย ๆ ครั้ง หรือมีภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้ความดันในช่องท้องสูงขึ้นจนทำให้เกิดการฉีกขาดของหลอดอาหาร

สาเหตุเลือดออกในกระเพาะอาหาร


  • แผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
    • การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori)
    • การดื่มแอลกอฮอล์
    • การรับประทานยาลดไข้กลุ่ม แอสไพริน (aspirin) ที่ไม่เหมาะสม
    • การรับประทานยาลดอาการปวดกลุ่ม NSAIDs (non-steroidal antiinflammatory drugs) เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) อย่างไม่เหมาะสม
  • ภาวะที่มีการอักเสบของกระเพาะอาหาร (gastritis)
  • ความเครียดต่าง ๆ เช่น ความเครียดจากการประสบอุบัติเหตุ ความเครียดจากการผ่าตัด
  • มะเร็งกระเพาะอาหาร (gastric cancer)

สาเหตุเลือดออกในลำไส้เล็กส่วนต้น


  • แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
    • การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori)
    • การรับประทานยาลดไข้กลุ่ม แอสไพริน (aspirin) ที่ไม่เหมาะสม
    • การรับประทานยาลดอาการปวดกลุ่ม NSAIDs (non-steroidal antiinflammatory drugs) เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) อย่างไม่เหมาะสม
  • ลำไส้อักเสบจากโรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome; IBS)
  • มะเร็งลำไส้เล็ก

อาการของภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน


  • อาเจียนเป็นเลือด
  • คลื่นไส้
  • ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่
  • เบื่ออาหาร
  • กลืนอาหารลำบาก
  • ถ่ายดำ หรือมีสีคล้ายยางมะตอย มีกลิ่นเหม็น
  • ปวดท้อง เเน่นท้อง โดยมีอาการคล้ายโรคลำไส้เแปรปรวน
  • รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระบ่อยผิดปกติ
  • อ่อนเพลีย
  • หัวใจเต้นเร็วและเบา
  • เป็นลม หมดสติได้
  • ความดันต่ำ และอาจช็อกได้

อาการของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนที่ควรไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน


หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปโรงพยาบาลทันทีเพราะหากปล่อยไว้ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะช็อก หมดสติได้


  • หน้ามืด เป็นลม หรือหมดสติ
  • ปวดท้องรุนเเรง
  • หายใจหอบเหนื่อย หรือเหนื่อยง่ายเวลาออกเเรง
  • เหงื่อออก ใจสั่น หรือมีอาการหนาวสั่น
  • ท้องโตขึ้นมาก ปวดท้อง
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือตัวซีดผิดปกติ
  • พบจ้ำเลือดตามตัว
  • ชีพจรเต้นเบาเเละเร็วผิดปกติ
  • ความดันต่ำผิดปกติ

อาการของภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบนและส่วนล่างต่างกันอย่างไร?


ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน จะมีอาการที่พบได้บ่อยคือ อาเจียนเป็นเลือด เเละถ่ายดำมีสีคล้ายยางมะตอย เเต่ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนล่าง อุจจาระมักมีสีปกติแต่จะมีเลือดที่มีสีแดงสดปนออกอย่างชัดเจน


ทั้งนี้ยังจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่างกายโดยเเพทย์เเละการตรวจวินิจฉัยหลายอย่างเพื่อทำการวินิจฉัยโรคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


การวินิจฉัยภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน


การตรวจวินิจฉัยภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน มีดังนี้


  • แพทย์จะทำการซักประวัติ อาการต่าง ๆ ระยะเวลาที่พบอาการ การตรวจร่างกาย เเละประวัติการใช้ยา
  • การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการเพื่อดู ปริมาณเม็ดเลือดแดง ความเข้มข้นของเลือด ค่าปริมาณเกล็ดเลือด ค่าการเเข็งตัวของเลือด รวมไปถึงตรวจดูค่าการทำงานของตับเเละไต
  • การตรวจหาเชื้อ H. pylori ในกระเพาะอาหารผ่านทางลมหายใจ
  • ตรวจอุจจาระเพื่อดูการปนเปื้อนของเม็ดเลือดแดง (stool occult blood)
  • การใส่สายสวนล้างกระเพาะอาหาร (gastric lavage) เพื่อดูความรุนเเรงของภาวะเลือดออกภายในกระเพาะ
  • การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (esophagogastroduodenoscopy; EGD)
  • อัลตราซาวนด์ช่องท้องเพื่อตรวจดูตับอ่อน ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี รวมไปถึงตับ
  • การตรวจลำไส้เล็กด้วยวิธีการกลืนแคปซูล (capsule endoscopy)
  • การฉีดสีเพื่อดูหลอดเลือดในทางเดินอาหาร (angiography)
  • การตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (computerized tomography; CT Scan)

การรักษาภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน


การรักษาภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนจะรักษาตามสาเหตุเเละความรุนเเรง โดยแพทย์อาจพิจารณาการรักษาดังนี้


  1. การักษาด้วยยา: โดยเเพทย์อาจรักษาโดยการให้ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม
  2. รักษาโดยการให้เลือด: ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกเรื้อรัง หรือเสียเลือดมาก จนมีภาวะความเข้มข้นเลือดต่ำเเละมีเกล็ดเลือดต่ำ โดยการให้เลือดจะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดเเละเม็ดเลือดในร่างกายเเละเกล็ดเลือดเพื่อช่วยในการเเข็งตัวของเลือดให้กลับสู้ภาวะปกติ และป้องกันอาการช็อกได้
  3. การรักษาโดยการส่องกล้อง (endoscopy therapy): จะใช้เป็นการรักษาหลักในกลุ่มที่มีภาวะเลือดออกในทางเดินทางอาหารส่วนบนหรือส่วนต้น หรือความผิดปกติของหลอดเลือดในระบบทางเดินอาหารส่วนบน โดยจะมีการส่องกล้องเพื่อฉีดสารที่ช่วยให้เลือดเเข็งตัวหรือทำการรักษาแผลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นการจี้ด้วยความร้อน
  4. การรักษาโดยหัตถการที่ใช้รังสีร่วมรักษา (interventional radiology): จะใช้การรักษานี้ในกรณีที่รักษาโดยวิธีการส่องกล้องไม่ได้ โดยจะทำการฉีดสารทึบรังสีเพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือดในทางเดินอาหารส่วนบน เเล้วจึงทำการแก้ไขความผิดปกติของหลอดเลือดเพื่อหยุดภาวะเลือดออก
  5. การผ่าตัด: การรักษาโดยวิธีการผ่าตัดจะใช้ในกรณีทีมีภาวะเลือดออกในขั้นวิกฤต หรือไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้ โดยจะทำการผ่าตัดเพื่อเย็บแผลหรือจุดที่มีเลือดออกอย่างรุนเเรง หรือทำการผ่าตัดเพื่อเเก้ไขความผิดปกติของหลอดเลือดในทางเดินอาหารส่วนบน

การป้องกันภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน


  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เเละอาหารที่มีไขมันสูง
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม
  • งดการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน (aspirin) หรือ ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือยาประเภทสเตียรอยด์อย่างเหมาะสม โดยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • รับประทานให้ตรงต่อเวลา เเละไม่ควรรับประทานอาหารมื้อหนักก่อนนอน
  • เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด ถูกหลักอนามัยเเละล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร เเละดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 เเก้ว
  • ลดความเครียด ซึ่งอาจทำได้โดยการทำสมาธิ เเละหากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ
  • พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเน้นผักเเละผลไม้ที่มีปริมาณเส้นใยเเละเเร่ธาตุสูง
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีเพื่อเฝ้าระวังเเละคัดกรองโรค

สรุป


ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน มีอาการสำคัญคืออาเจียนเป็นเลือด ปวดท้อง คลื่นไส้ เเละถ่ายดำสีคล้ายยางมะตอย โดยเป็นภาวะที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จนเสียเลือดมาก อาจทำให้ช็อกหรือเสียชีวิตได้ การรักษาต้องทำการรักษาควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมเพื่อประสิทธิภาพในการรักษา การตรวจสุขภาพประจำปีจึงมีความสำคัญในการช่วยเฝ้าระวังเเละคัดกรองโรคได้


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ระพีพันธุ์  กัลยาวินัย

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital