บทความสุขภาพ

Knowledge

เตรียมตัวฉีดวัคซีนโควิด ต้องทำอย่างไรบ้าง

นพ. อนุวัตร สุขสมานพาณิชย์

ยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในระลอกที่ 3 นี้ยังพุ่งไม่หยุด ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนในพื้นที่สีแดงที่เกิดการระบาดได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีข่าวอาการไม่พึงประสงค์ตามมาในภายหลังการได้รับวัคซีน ส่งผลให้เกิดความกังวลใจได้ไม่เว้นแต่ละวัน


ทีนี้ ถ้าเรายังกังวลใจกับการฉีดวัคซีนโควิด 19…

เราควรทำอย่างไรได้บ้าง…

ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร?

จะไปตรวจสุขภาพเพื่อเช็คความพร้อมก่อนฉีดวัคซีนได้หรือเปล่า?

บทความนี้ มีเฉลย สามารถเลือกหัวข้อที่สงสัยจากสารบัญได้เลย


บทความนี้ เหมาะสำหรับใคร


นับจากวันนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเดือน กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 7 โรคเรื้อรัง จัดเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิ์จะเริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 ล็อตแรกในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 นี้


นอกจากเรื่องลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมจะเป็นที่สนใจกันส่วนใหญ่แล้ว อีกคำถามถัดมาที่แพทย์มักจะถูกถามบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้ คือ


“ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนไปฉีดวัคซีน ”
“จะลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงตามข่าว
ที่ได้ยินกันอย่างหนาหูในช่วงนี้ได้อย่างไรบ้าง? ”
“จะตรวจสุขภาพเพื่อเช็คความพร้อมก่อนฉีดวัคซีนได้หรือเปล่า? ”

เราเข้าใจถึงความกังวลจากคำถามทั้งหลายนี้ เพื่อตอบคำถามผู้ที่มีข้อสงสัยและความกังวล เราจึงได้สรุปประเด็นคำถามและคำตอบได้ ดังนี้


Q1: ก่อนฉีดวัคซีนโควิด 19 ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

คำตอบ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข มีคำแนะนำก่อนฉีดวัคซีน ดังนี้


  1. สองวันก่อนและหลังการฉีดวัคซีน ให้งดออกกำลังกายหนัก หรือยกน้ำหนัก และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  2. วันที่ฉีดควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500-1,000 ซีซี (ประมาณ 3-5 แก้ว) งดชา กาแฟ หรือของที่มีคาเฟอีน รวมถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  3. สำหรับผู้ป่วยจิตเวช ไม่ควรลดยา เพิ่มยา หรือปรับยาจิตเวชเองก่อนการฉีดวัคซีนโควิด 19 เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือถอนยาได้ และยาจิตเวชส่วนใหญ่ปลอดภัยต่อการฉีดวัคซีน (ข้อมูลอัปเดตวันที่ 28 พฤษภาคม) โดยผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและดูแลสุขภาพจิตของตัวเองให้คงที่ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนและหลังการฉีดวัคซีน หากผู้ป่วยรู้สึกวิตกกังวลใจเกี่ยวกับการรักษา การรับประทานยา และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ควรปรึกษาจิตแพทย์ผู้ดูแลรักษา
  4. กรณีรับประทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ ก็ให้รับประทานยาได้ตามปกติ แต่เมื่อฉีดวัคซีนแล้วให้กดนิ่งตรงตำแหน่งที่ฉีดต่ออีก 1 นาที
  5. ฉีดแขนข้างที่ไม่ค่อยถนัด และหลังฉีดสองวันอย่าใช้แขนนั้น อย่าเกร็งยกของหนัก หรืออย่าบีบนวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน
  6. หลังฉีดแล้วเจ้าหน้าที่จะให้รอสังเกตอาการในบริเวณสถานที่ฉีดอีก 30 นาที
  7. ถ้ามีไข้ หรือปวดเมื่อยมากจนทนไม่ไหว สามารถกินยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละหนึ่งเม็ด (กินซ้ำได้ถ้าจำเป็น) แต่ให้ห่างกัน 6 ชั่วโมง ห้ามกินยาจำพวก Brufen, Arcoxia, Celebrex เด็ดขาด

Q2: ควรเว้นระยะเวลาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ กับการฉีดวัคซีนโควิด 19 นานเท่าไหร่?

คำตอบ เมื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว ควรเว้นระยะห่างกับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน หรือถ้าตรวจสอบคิวนัดหมายที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ต้องรอนานมากกว่า 1 เดือน สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อนได้เลย

สำหรับเรื่องลำดับในการฉีด ว่าจะฉีดตัวไหนก่อน กรณีประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่พึ่งได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 ไปแล้วนั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนโควิด 19 ที่ฉีด


  • หากเป็นวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) ให้ฉีดให้ครบ 2 เข็มก่อน จากนั้นเว้นระยะ 1 เดือน แล้วจึงเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลต่อไป
  • หากเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) จะมีอยู่สองทางเลือก ตามความสะดวก
    • ต้องการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่คั่นระหว่างกลางก็ได้ แต่ต้องเว้นระยะ 1 เดือนหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1
    • ต้องการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบ 2 เข็มก่อน แล้วค่อยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ต้องเว้นระยะ 1 เดือน หลังฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 2

Q3: ฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 กับเข็มที่ 2 คนละยี่ห้อกันได้มั้ย ?

คำตอบ สามารถฉีดได้ แต่ไม่แนะนำ ยกเว้นกรณีแพทย์เห็นว่าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนยี่ห้อในการฉีด เนื่องจากเมื่อท่านได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ระบบจะทำการจองวัน เวลา และสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้ทันที หากท่านมีการเปลี่ยนแปลงยี่ห้อวัคซีนที่จะฉีด จะส่งผลให้ได้รับการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าออกไป


Q4: หากฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว จะต้องฉีดซ้ำอีกทีเมื่อไหร่?

คำตอบ เนื่องจากประเด็นเรื่องวัคซีนยังเป็นเรื่องใหม่ จึงยังไม่มีผลการศึกษามากพอที่จะระบุได้ว่า เมื่อฉีดวัคซีนไปแล้วจะต้องฉีดกระตุ้นอีกครั้งหรือไม่


Q5: สามารถตรวจสุขภาพเพื่อเช็คความพร้อมก่อนฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้หรือเปล่า?

คำตอบ การตรวจสุขภาพก่อนฉีดวัคซีน จะไม่ช่วยรับประกันว่าฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วจะเกิดอาการแพ้วัคซีนรุนแรงขนาดไหน

แต่ก็ยังมีข้อแนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพอยู่ดี เพราะจะช่วยให้ทราบถึงความเสี่ยงของการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง หรือตรวจหาโรคที่เป็น “ภัยเงียบ” ตั้งแต่ที่ยังไม่แสดงอาการ เพราะถ้าหากมีโรคแฝงหรือโรคเรื้อรัง จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ของท่านได้อย่างเหมาะสม


Q6: การตรวจสุขภาพก่อนฉีดวัคซีนดียังไง?

คำตอบ การทราบสุขภาวะของตัวเองอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก จะช่วยให้เราประเมินตัวเองได้อย่างเหมาะสม เพราะในกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหากติดเชื้อโควิด 19 แล้วจะมีอาการรุนแรง

นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้ทราบว่ามีความเสี่ยงของการเกิดโรคอื่น ๆ อีกหรือไม่ ซึ่งเป็นประโยชน์กับตัวท่านเองในการเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ


อย่างไรก็ดี ในกลุ่มคนอายุน้อยที่ไม่มีโรคประจำตัว และไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน แม้ตามหลักเกณฑ์แล้ว จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อโควิด 19 แล้วมีเสี่ยงมีอาการรุนแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในความเป็นจริงเราจะไม่เสี่ยงเลย


ดังนั้น จึงยังมีข้อแนะนำให้ไปตรวจสุขภาพเผื่อไว้ ในกรณีที่อาจจะมีโรคประจำตัวแฝงอยู่ แล้วไม่เคยรู้มาก่อน เพราะโรคแฝงเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อรุนแรงภายหลังได้ เราจะได้วางแผนการรักษา และป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโควิด 19 ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการเตรียมตัวให้แข็งแรง พร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 อีกด้วย


อธิบายง่าย ๆ ก็คือ คนที่สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ร่างกายจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี หากติดเชื้อจะทำให้ไม่มีอาการรุนแรง แต่หากเราป่วยหรือมีโรคประจำตัว ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ หากติดเชื้อก็อาจมีอาการรุนแรงได้


ฉะนั้น การมาตรวจสุขภาพเพื่อให้รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอะไรบ้าง จะช่วยให้เราเตรียมรับมือกับโรคโควิด 19 ได้อย่างเหมาะสม เพราะเราคาดเดาเอาเองไม่ได้หรอกว่า จริง ๆ แล้วตัวเรามีสุขภาพที่ดีหรือไม่ มีโรคแฝงหรือเปล่า?


Q7: ถ้าไปตรวจสุขภาพ จะทราบได้ไหมว่าเรามีโอกาสแพ้วัคซีนหรือไม่?

คำตอบ การตรวจสุขภาพโดยทั่วไป ไม่สามารถระบุได้ว่าคุณมีโอกาสจะแพ้วัคซีนหรือไม่


สรุป


การที่เราต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน ยี่ห้ออะไร ก็เพื่อต้องการให้ส่วนหนึ่งของเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกาย แล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาจัดการกับเชื้อไวรัสที่เรามีโอกาสจะติดเชื้อได้ในอนาคต


หากมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนแล้ว จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อ หรือถ้าหากเกิดการติดเชื้อ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้


ข้อมูลอ้างอิง https://bit.ly/33vOpzN , https://www.nhso.go.th/news/3078

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. อนุวัตร สุขสมานพาณิชย์

นพ. อนุวัตร สุขสมานพาณิชย์

ศูนย์ศัลยกรรม

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital