บทความสุขภาพ

Knowledge

การดูแลสุขภาพและการปฏิบัติตัวหลังการปลูกถ่ายไต

นพ. วิศิษฐ์ ลิ่วลมไพศาล

การปลูกถ่ายไต เป็นการผ่าตัดเพื่อนำไตใหม่จากผู้บริจาคซึ่งอาจเป็นญาติหรือผู้ป่วยสมองตายมาปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เพื่อทดแทนการทำงานของไตที่บกพร่องไป ซึ่งปัจจุบันความสำเร็จของการปลูกถ่ายไตมีอัตราค่อนข้างสูง ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถทำงาน รับประทานอาหาร และออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี จึงนับว่าเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุดของผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรัง และไตที่ปลูกถ่ายใหม่สามารถใช้งานได้นานกว่า 10 ปี อย่างไรก็ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตยังจำเป็นต้องได้รับการดูแลหลังการเปลี่ยนไตไปตลอดชีวิต เพื่อให้ไตใหม่อยู่ได้นานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังการปลูกถ่ายไตผู้ป่วยต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต แต่การได้รับยากดภูมิคุ้มกันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องปฏิบัติตนและดูแลสุขภาพให้เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ และหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และเพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานของไตใหม่ให้ใช้งานได้นานที่สุด


การได้รับยากดภูมิในผู้ป่วย หลังได้รับการปลูกถ่ายไต


ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจำเป็นจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต เพื่อกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันภาวะปฏิเสธไต เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะตอบสนองต่อไตใหม่เสมือนสิ่งแปลกปลอมชนิดหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิเสธไตใหม่ ทำให้การปลูกถ่ายไตไม่ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผู้ป่วยควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับยากดภูมิคุ้มกันและยาอื่น ๆ ที่ได้รับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และรักษาการทำงานของไตใหม่ได้ให้ยาวนานที่สุด


รายชื่อยากดภูมิคุ้มกัน


ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะต้องรับประทานยากดภูมิไปตลอดชีวิต ดังนั้นผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับยากดภูมิ รวมไปถึงยาอื่น ๆ ด้วย ซึ่งยากดภูมิคุ้มกันที่ผู้ป่วยจะได้รับหลังการปลูกถ่ายไตจะต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งยากดภูมิเหล่านี้ ได้แก่


  • Cyclosporine (Neoral)
  • Tacrolimus (Prograf, Advargraf)
  • Sirolimus, Rapamune, Everolimus (Certican)
  • Mycophenolate mofetil (Cellcept)
  • Mycophenolate Sodium (Myfortic)
  • Prednisolone

จุดประสงค์ของการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน

เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต่อต้านหรือปฏิเสธไตใหม่ โดยผู้ป่วยต้องได้รับยาในขนาดที่เหมาะสม เพราะจะช่วยให้ไตใหม่ที่ได้รับการปลูกถ่ายสามารถทำงานและอยู่กับผู้ป่วยได้นานที่สุด


สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการรับประทานยากดภูมิ


  • ผู้ป่วยไม่ควรปรับขนาดยาเอง ต้องรับประทานยาให้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรเปลี่ยนชนิดของยากดภูมิคุ้มกันเอง
  • หากผู้ป่วยรับประทานยาไม่สม่ำเสมอจะทำให้ไม่ได้รับยาในขนาดที่ถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้ระดับยากดภูมิคุ้มกันในเลือดเปลี่ยนแปลงจนทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ เช่น
    • ระดับยาน้อยเกินไป จะทำให้เกิดภาวะปฎิเสธอวัยวะ
    • ระดับยาที่สูงเกินไป จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อต่าง ๆ

การติดตามระดับยาในเลือด


  • แพทย์จะสั่งตรวจวัดระดับยาในเลือดเพื่อพิจารณาขนาดยาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วย การเจาะเลือดเพื่อวัดระดับยาจึงมีความสำคัญมาก สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ทาโครลิมัส (Tacrolimus) ไซโรลิมัส (Sirolimus) เอเวอโรลิมัส (Everolimus) ผู้ป่วยควรมาเจาะเลือดให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ก่อนรับประทานยา และไม่ควรเจาะเลือดคลาดเคลื่อนเกิน 30 – 60 นาที
  • โดยปกติจะวัดระดับยาต่ำสุด คือ การเจาะเลือดก่อนรับประทานยากดภูมิคุ้มกันมื้อถัดไป เช่น หากรับประทานยาเวลา 20.00 น. และจะรับประทานยามื้อถัดไปเวลา 8.00 น. ผู้ป่วยควรเจาะเลือดเวลา 8.00 น. และคลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 30 นาที
  • สำหรับผู้ที่ใช้ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) บางราย แพทย์อาจจะให้เจาะเลือดหลังจากรับประทานยาผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง เช่น รับประทานยาเวลา 8.00 น. แพทย์อาจจะสั่งให้เจาะเลือดเวลา 10.00 น.

การเก็บรักษายา


  • ยากดภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง ป้องกันแสง ความร้อน หรือความชื้น ยกเว้นยาไซโรลิมัส (Sirolimus) ชนิดน้ำ ที่ต้องเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส
  • ยาที่บรรจุอยู่ในแผงยา ไม่ควรแกะเม็ดยาออกมาจากแผง หากยังไม่ได้รับประทาน เพราะแสงและความชื้นอาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้

กรณีได้รับการรักษาจากแพทย์ท่านอื่น สถานพยาบาลอื่น หรือร้านขายยา


ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ เภสัชกร หรือพยาบาล รับทราบว่าท่านรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ ในกรณีที่ได้รับการรักษาจากที่อื่น เนื่องจากยาบางชนิดที่ได้รับเพื่อรักษาภาวะอื่น ๆ เพิ่ม อาจเกิดปฏิกิริยาต่อยากดภูมิคุ้มกัน (drug interaction) หรือที่เรียกว่า “ยาตีกัน” ส่งผลให้ระดับยากดภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ จะได้มีการตรวจสอบการให้ยาให้ถูกต้อง


ตัวอย่างยาที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับยากดภูมิคุ้มกัน


renal-transplantation-post-operation-1.png

กรณีลืมรับประทานยา


  • ถ้าเป็นยาที่รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช่น ไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ทาโครลิมัส (Tacrolimus) ให้ทานทันที ที่นึกได้ภายใน 6 ชั่วโมง ถ้าเลย 6 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าโดยเด็ดขาด
  • ถ้าเป็นยาที่รับประทานวันละ 1 ครั้ง เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) ไซโรลิมัส (Sirolimus) ให้รับประทานทันที ที่นึกได้ภายใน 12 ชั่วโมง ถ้าเลย 12 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าโดยเด็ดขาด

ตัวอย่าง: ผู้ป่วยได้รับยากดภูมิคุ้มกันไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ทานวันละ 2 ครั้ง เวลา 8.00 น. และ 20.00 น. ผู้ป่วยลืมทานยาตอน 8.00 น. และนึกขึ้นได้ก่อนเวลา 14.00 น. ให้รีบรับประทานยาทันที แต่ถ้านึกขึ้นได้หลังจากเวลา 14.00 น. ให้ข้ามมื้อนั้นไป และรับประทานยาเวลา 20.00 น. ในปริมาณเท่าเดิม ไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า


กรณีอาเจียนยาออกมา


  • ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังจากรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน และมองเห็นเม็ดยาที่อาเจียนออกมา ควรเว้นระยะสักครู่ให้อาการคลื่นไส้อาเจียนดีขึ้น แล้วจึงรับประทานยาใหม่
  • หากอาเจียนแต่ไม่เห็นเม็ดยาหรือไม่แน่ใจว่าอาเจียนยาออกมาด้วยหรือไม่ ไม่ควรรับประทานยาซ้ำโดยเด็ดขาด

กรณีผู้ป่วยต้องเดินทางไกล


  • เตรียมยาติดตัวให้เพียงพอตลอดการเดินทาง
  • เลือกอยู่ในสถานที่ ที่สะอาด และไม่แออัด
  • ไม่ควรเก็บยาไว้ในรถ ที่ร้อนจัด หรือถูกแสงแดดโดยตรง
  • เลือกรับประทานอาหารสุกที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ หรือผลไม้ที่ปอกเปลือกได้
  • ถ้าเดินทางไปต่างประเทศที่ต้องปรับเวลาใหม่ ควรรับประทานยาตามเวลาในประเทศไทย ยกเว้น กรณีที่ต้องไปพักอาศัยเป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางบนเครื่องบินในช่วง 3 – 6 เดือนแรกหลังการปลูกถ่ายอวัยวะหากไม่จำเป็น เนื่องจากช่วงเวลานี้ผู้ป่วยจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันในปริมาณสูง การอยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทน้อยเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อจากผู้โดยสารอื่น ๆ ได้ง่าย

กรณีที่มีอาการผิดปกติ ต้องทำอย่างไร


ผู้ป่วยควรศึกษาอาการสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของภาวะปฏิเสธไตและภาวะติดเชื้อ หากมีอาการเหล่านั้นให้รีบมาพบแพทย์ทันที


สรุปข้อควรปฏิบัติหลังจากได้รับยากดภูมิคุ้มกัน


  • รับประทานยาสม่ำเสมอและตรงเวลา
  • ห้ามหยุดยาหรือปรับขนาดยาเองโดยเด็ดขาด
  • ควรจำชื่อยากดภูมิคุ้มกันให้ได้หรือจดบันทึกไว้
  • ต้องมาเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับยาตามเวลาที่กำหนด
  • เก็บยาในสถานที่ที่ไม่ถูกแสง ความร้อน ความชื้น และพ้นมือเด็ก
  • หากได้รับการรักษาจากสถานพยาบาล/ร้านยาอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ เภสัชกร หรือพยาบาลรับทราบทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบรายการยาที่ได้รับเพิ่มว่าจะมีผลต่อยากดภูมิคุ้มกันหรือไม่

คำแนะนำเกี่ยวกับยาที่ใช้หลังจากการปลูกถ่ายไต


ภายหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องรับประทานยาหลายชนิด โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งต้องรับประทานตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่ ผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของยา วิธีรับประทานยาที่ถูกต้อง และผลข้างเคียงของยา ดังนี้


ข้อควรปฏิบัติ


  • รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
  • พกใบรายการยาประจำติดตัวไว้เสมอ
  • ต้องมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  • ถ้ารับประทานยาเกินขนาดต้องรีบแจ้งแพทย์ทันที
  • เก็บยาในที่ที่เหมาะสมตามคำสั่งแพทย์และเภสัชกร
  • ควรปฏิบัติตนให้ถูกต้องทุกครั้งที่มาเจาะเลือดเพื่อวัดระดับยากดภูมิคุ้มกัน เพราะหากระดับยาสูงไปจะมีโทษต่อไต ในทางตรงกันข้ามถ้าระดับยาต่ำไปก็ทำให้การกดภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ได้ผล ซึ่งอาจเกิดภาวะปฏิเสธไตใหม่ได้
  • หากมีอาการข้างเคียงใหม่ ๆ จากการรับประทานยา หรือมีภาวะแทรกซ้อนฉุกเฉินให้ติดต่อแพทย์และโรงพยาบาลทันที
  • หากสังเกตพบว่ามีสิ่งปกติใด ๆ เกิดขึ้น ให้จดบันทึกไว้พร้อมวันและเวลา แล้วแจ้งให้แพทย์ที่ดูแลทราบเมื่อมาพบแพทย์ตามนัด
  • ควรวางแผนล่วงหน้าก่อนยาจะหมดและเตรียมยาให้พร้อมก่อนไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด

ข้อห้ามและไม่ควรปฏิบัติ


  • อย่าหยุดยาหรือปรับยาเองเด็ดขาด
  • อย่ารับประทานยาที่หมดอายุแล้ว
  • อย่าให้ผู้อื่นรับประทานยาของตน
  • ไม่ควรขาดยาที่รับประทานประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากดภูมิคุ้มกัน
  • อย่าซื้อยาจากร้านขายยาทั่วไปโดยแพทย์ไม่ได้สั่ง ก่อนใช้ยาอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เนื่องจากยาหลายชนิดอาจทำให้ประสิทธิภาพของยากดภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลงไป

การมาพบแพทย์ตามนัด


การมาพบแพทย์ตามนัดถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลหลังการเปลี่ยนไต ดังนั้นผู้ที่ผ่าตัดปลูกถ่ายไตจึงควรใส่ใจและมาพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด


การพบแพทย์ตามนัดสำคัญอย่างไร?


การพบแพทย์ตามนัดเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ป่วยจำเป็นต้องมาพบแพทย์ทุกครั้ง หลังการปลูกถ่ายไต เนื่องจากแพทย์จำเป็นต้องตรวจร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าไตใหม่จะอยู่ได้นานและทำงานได้ดี อีกทั้งการดูแลหลังการเปลี่ยนไตไม่สามารถทำได้ทางโทรศัพท์หรือทางไปรษณีย์ได้ เคยมีกรณีตัวอย่างผู้ป่วยปลูกถ่ายไตไม่ยอมพบแพทย์ เก็บตัวกินยาเองโดยลำพัง สุดท้ายไตเสื่อมลงจากฤทธิ์ของยา เกิดการติดเชื้อ และเสียชีวิตในที่สุด จะเห็นได้ว่าการมาพบแพทย์ตามนัดนั้นสำคัญมาก


การมาพบแพทย์จะมีการตรวจร่างกายอะไรบ้าง?


  • ตรวจความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายและจิตใจ
  • ตรวจการทำงานของไตใหม่ ในบางกรณีอาจมีความผิดปกติจากการต่อต้านไตใหม่หรือจากโรคเก่ากำเริบแต่ไม่แสดงอาการ โดยจะพบได้เฉพาะเมื่อตรวจเลือดและปัสสาวะเท่านั้น
  • ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่มีโอกาสเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น การติดเชื้อ โรคหัวใจ โรคตับ โรคมะเร็ง โรงเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคกระเพาะ/ลำไส้ เป็นต้น
  • อาการข้างเคียงของยา
  • ตรวจเพื่อปรับระดับยากดภูมิคุ้มกันให้เหมาะสม
  • ตรวจเพื่อปรับยาตัวอื่น ๆ ให้เหมาะสม เช่น ยาลดความดัน ยาเบาหวาน ยาลดไขมัน ยาโรคหัวใจ เป็นต้น
  • ตรวจปัสสาวะ เพื่อดูสิ่งผิดปกติในปัสสาวะ เช่น เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง ไข่ขาว โรคติดเชื้อ เป็นต้น

มีการตรวจเลือดเพื่อดูอะไรบ้าง?


  • ระดับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ระดับการทำงานของไตและตับ
  • ระดับเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด
  • ระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อตรวจหาและควบคุมเบาหวาน

การตรวจพิเศษที่อาจมีการตรวจเพิ่มเติม มีอะไรบ้าง?


  • อัลตราซาวนด์
  • เอกซเรย์ปอด
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • เก็บตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
  • ตรวจหามะเร็งต่าง ๆ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
  • ตรวจภายใน (สำหรับสตรี)
  • ตรวจชิ้นเนื้อไต (kidney biopsy) กรณีที่แพทย์สงสัยภาวะปฏิเสธไต

อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนนัด


  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ปัสสาวะแสบขัด ขุ่น มีเลือดปน
  • ปัสสาวะออกน้อยลงจากเดิม
  • มีอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ใส่ไตใหม่
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก ตัวบวมขึ้น
  • มีเลือดหรือน้ำเหลืองซึมออกจากแผลผ่าตัด
  • ท้องเสีย
  • เหนื่อยหอบ
  • ปวดบริเวณแผลหรือบริเวณไตที่เปลี่ยน
  • มีลักษณะของแผลเริม งูสวัด
  • ความผิดปกติอื่น ๆ

การทำงาน การเรียน การดำเนินชีวิตหลังการปลูกถ่ายไต


  • สามารถทำงานทั่วไปได้ตามปกติ และจะสามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น เพราะผู้ป่วยไม่ต้องไปฟอกเลือด โดยผู้ป่วยจะสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 4 – 8 สัปดาห์ หลังจากออกจากโรงพยาบาล ทั้งนี้ขึ้นกับคำแนะนำจากแพทย์
  • งานที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ การทำงานกับดิน งานสวน งานที่ต้องเผชิญกับสิ่งสกปรก ควรสวมถุงมือยางและใช้ผ้าปิดปากและจมูกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังต้องระวังการเข้าสังคม การพบปะผู้คนหรือต้องไปอยู่ในที่ที่มีคนจำนวนมาก หรือที่แออัดคับแคบ และควรหลีกเลี่ยงการเข้าที่ชุมชนในช่วง 3 – 6 เดือนแรกหลังการผ่าตัด

การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายไต


  • ผู้ป่วยปลูกถ่ายไตทุกคนต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยในการลดความเครียด ลดไขมัน ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานดีขึ้น และช่วยลดความดันได้
  • หลังการปลูกถ่ายไตในสัปดาห์แรก ควรยืน เดินรอบ ๆ เตียง
  • หลังปลูกถ่ายไต 1 – 2 สัปดาห์ ควรเดินให้มากขึ้นและสามารถช่วยเหลือตนเองได้เต็มที่
  • หลังปลูกถ่ายไต 2 – 4 สัปดาห์ ควรเดินรอบ ๆ บ้าน วันละ 3 – 4 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที
  • หลังปลูกถ่ายไต 4 – 6 สัปดาห์ ควรเดินเร็ว ๆ จนเหงื่อออก ครั้งละ 15 – 30 นาที วันละ 1 – 2 ครั้ง
  • หลังปลูกถ่ายไต 6 สัปดาห์ สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ
  • เล่นกีฬาที่เหมาะสม ได้แก่ เต้นแอโรบิค ปิงปอง วิ่ง ว่ายน้ำ
  • กีฬาที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชกมวย ยูโด มวยปล้ำ รักบี้ ฟุตบอล และกีฬาอื่น ๆ ที่มีการปะทะหรือชนกัน เป็นต้น

การมีเพศสัมพันธ์หลังการปลูกถ่ายไต


  • ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
  • ควรมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (safe sex) ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
  • ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมักเกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ทำให้มีปัญหาต่อความสุขของครอบครัว แต่เมื่อปลูกถ่ายไตสำเร็จ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มมีสมรรถภาพทางเพศที่ดีขึ้น
  • แนวทางการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ควรเริ่มจากการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ งดสุรา รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ ควบคุมความดันและไขมันในเลือด
  • หากหลังปลูกถ่ายไตผู้ป่วยต้องการรับประทานยาเพื่อรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

หลังปลูกถ่ายไตสามารถมีบุตรได้หรือไม่?


  • สตรีที่ปลูกถ่ายไต ควรทิ้งระยะเวลาตั้งครรภ์หลังปลูกถ่ายไตเป็นเวลา 2 ปี
  • การตั้งครรภ์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

การติดเชื้อที่พบบ่อยในผู้ป่วยปลูกถ่ายไต


เชื้อโรคที่พบในผู้ป่วยปลูกถ่ายไตได้บ่อยหรืออันตรายสูง โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรก ได้แก่


  • เชื้อไวรัส ที่พบได้บ่อย ได้แก่
    • เชื้อเริม/งูสวัด (herpes)
    • ไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี (hepatitis B, C)
    • ไวรัส Cytomegalovirus (CMV) เช่น ปอดบวม ลำไส้อักเสบ ม่านจอตาอักเสบ เป็นต้น
    • ไวรัส Epstein-Barr virus (EBV) ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้
  • เชื้อรา เช่น ติดเชื้อราบริเวณผิวหนัง ปาก ปอด และอวัยวะอื่นๆ
  • เชื้อแบคทีเรีย เช่น ปอดอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ และเนื้อไตอักเสบ ที่อาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดและเสียชีวิตได้
  • ติดเชื้อ Pneumocystis pneumonia (PCP) ในปอด

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการปลูกถ่ายไต


  • หมั่นล้างมือบ่อย ๆ
  • ระวังอย่าเอามือที่ไม่สะอาดมาถูหน้าหรือเอาเข้าปาก รับประทานอาหารและดื่มน้ำที่สะอาดเท่านั้น
  • อยู่ให้ห่างผู้ป่วยหวัดหรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น อีสุกอีใส ปอดปวม โดยเฉพาะช่วง 3 – 6 เดือนแรกหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไต
  • ถ้ามีคนในบ้านเป็นหวัด ควรใส่หน้ากากครอบปากและจมูก
  • ไม่ควรทำงานที่ต้องสัมผัสกับดิน ขยะ น้ำสกปรก โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรกหลังผ่าตัด
  • พยายามหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับสัตว์ สัตว์เลี้ยง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์จรจัด

ภาวะต่าง ๆ ที่อาจเกิดตามมาหลังการปลูกถ่ายไต


โรคความดัน


  • อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคความดันและโรคหัวใจ นอกจากนี้ยากดภูมิคุ้มกันบางตัวก็มีผลข้างเคียงทำให้ความดันสูงขึ้นได้
  • ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องรับประทานยาควบคุมความดัน โดยทีมแพทย์ปลูกถ่ายไตจะเลือกยาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดและผลข้างเคียงน้อยที่สุดให้แก่ผู้ป่วย
  • ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับประทานยาขับปัสสาวะเพื่อเสริมฤทธิ์ของยาควบคุมความดันให้ดียิ่งขึ้น

โรคเบาหวาน


  • ยากดภูมิคุ้มกันบางตัวอาจมีผลข้างเคียงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง หากน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เกินกว่า 2 ครั้ง ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
  • อาการของโรคเบาหวาน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย คอแห้ง ปัสสาวะมาก อ่อนเพลีย ตาพร่า และสับสน ถ้าผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ควรแจ้งทีมแพทย์ปลูกถ่ายไตทันที
  • ผู้ป่วยปลูกถ่ายไตที่เป็นเบาหวานจะต้องควบคุมอาหาร ควบคู่ไปกับการรับประทานยาควบคุมเบาหวานหรือฉีดอินซูลิน และจะได้รับคำแนะนำวิธิการปฏิบัติตัวจากทีมแพทย์ที่ดูแลรักษา

ภาวะไขมันในเลือดสูง


  • ยากดภูมิคุ้มกันมีผลข้างเคียงทำให้ไขมันในเลือดสูงได้ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและอัมพาต ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจระดับไขมันในเลือดเป็นระยะ หากระดับไขมันในเลือดสูงอาจจำเป็นต้องใช้ยาควบคุมไขมัน ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
  • การออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และการควบคุมอาหาร จะช่วยลดระดับไขมันในเลือดลงได้ระดับหนึ่ง

อาหารและโภชนาการของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต


การเลือกอาหารที่เหมาะสมในผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายไต จะส่งผลให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วขึ้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะสามารถเลือกทานอาหารได้ปกติ แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น มีไข้ ติดเชื้อ มีการสลายของกล้ามเนื้อมากขึ้น จำเป็นต้องรับประทานอาหารให้เหมาะสมและเพียงพอตามสภาวะร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดภาวะทุพโภชนาการ อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารปรุงสุก สะอาด ครบ 5 หมู่ และถูกหลักสุขาภิบาลอาหาร


ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องควบคุมสารอาหารบางชนิดอันเนื่องมาจากยาหรือสภาวะต่าง ๆ เช่น ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง ในภาวะร่างกายต้องการโปรตีนมากขึ้น หรือในภาวะแร่ธาตุต่าง ๆ ของร่างกายไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ควรเลือกอาหารให้เหมาะสมตามชนิดต่าง ๆ ดังนี้


คาร์โบไฮเดรต


  • ผู้ป่วยที่มีน้ำตาลในเลือดสูงอันเนื่องมาจากโรคประจำตัวเดิมหรือจากยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ (steroid) จำเป็นต้องควบคุมอาหารกลุ่มคารโบไฮเดรต
  • ควรเลือกบริโภคอาหารกลุ่มคารโบไฮเดรต ดังนี้
    • รับประทานข้าว แป้ง และน้ำตาล ในปริมาณที่เหมาะสม
    • ควรเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต ธัญพืช เป็นต้น
    • หลีกเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ ขนม เป็นต้น
    • เลือกอาหารที่มีค่าการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายต่ำ (glycemic index < 55) เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เล่ย์ พาสต้า ผักกาดแก้ว มันเทศ ข้าวโพด ถั่วแดง เป็นต้น

ไขมัน


  • ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ควรบริโภคไขมันไม่เกินร้อยละ 30 – 35 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน โดยจำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 7 ไขมันไม่อิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10
  • ควรเลือกบริโภคอาหารกลุ่มไขมัน ดังนี้
    • เนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เป็นต้น
    • หลีกเลี่ยงอาหารทอด เบเกอรี่ และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
    • งดและหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • ลดบริโภคอาหารมื้อดึก
    • รับประทานอาหารให้ตรงเวลาเพื่อให้ระบบเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

โปรตีน


  • โปรตีน มีหน้าสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และช่วยในการสังเคราะห์สารสำคัญที่ช่วยให้ร่ายกายทำงานเป็นปกติ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เม็ดเลือด เป็นต้น โปรตีนจึงเป็นอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มีการสลายของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น หรือมีภาวะทุพโภชนาการอยู่เดิม ควรมีการกำหนดปริมาณโปรตีนให้รับประทานได้เพียงพอ และควรเลือกกลุ่มโปรตีนคุณภาพ เช่น นม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา ไข่ขาว เป็นต้น

โซเดียม


  • โซเดียม มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับคนปกติทั่วไปแนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน (โดยพิจารณาจาก dietary reference index; DRI)
  • ในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไต ความดันสูง น้ำท่วมปอด มีการคั่งของของเหลวในร่างกาย และแพทย์กำหนดให้จำกัดปริมาณโซเดียม ควรเลือกบริโภคอาหาร ดังนี้
    • บริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ชิมก่อนปรุงทุกครั้ง
    • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป หมักดอง อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จรูป
    • หลีกเลี่ยงการใช้ผงชูรส ผงปรุงรส และซุปก้อนในการปรุงอาหาร
    • ใช้รสเปรี้ยว เผ็ด และเครื่องเทศสมุนไพรต่าง ๆ เช่น หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมรสชาติ กลิ่น และสีสันแทนรสเค็ม
    • ลดการบริโภคน้ำจิ้ม น้ำราดต่าง ๆ

โพแทสเซียม


  • โพแทสเซียมช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้เป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงและแพทย์กำหนดให้จำกัดปริมาณโพแทสเซียมในอาหาร จะต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม
  • แหล่งอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ นม ธัญพืช และเครื่องปรุงรสบางชนิดที่เสริมโพแทสเซียม
  • ผู้ป่วยสามารถลดโพแทสเซียมในผักได้โดยการล้างผักให้สะอาดเพื่อลดสารตกค้าง ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือนำผักไปต้มหรือลวกก่อนนำไปปรุงประกอบอาหารได้ตามต้องการ

ฟอสฟอรัส


  • ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่พบมากในกระดูก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเลือด
  • หากมีฟอสฟอรัสปริมาณมากเกินไปจะมีผลต่อร่างกาย เช่น กระดูกเปราะบาง คันตามผิวหนัง เกิดหินปูนเกาะทำให้เกิดโรคหัวใจได้
  • ผู้ป่วยโรคไตที่มีฟอสฟอรัสสูงสามารถควบคุมได้หลายวิธี ได้แก่ การฟอกเลือด การรับประทานยาจับฟอสฟอรัส และการควบคุมอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง
  • กลุ่มอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง มีดังนี้
    • ไข่แดงของสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์ของไข่แดง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เบเกอรี่
    • ปลาที่กินทั้งก้าง เช่น ปลากรอบ ปลาไส้ตัน ปลาข้าวสาร ปลาแห้ง ปลาซาร์ดีน
    • เครื่องในสัตว์ กบ เขียด อึ่งอ่าง แย้ แมลงทุกชนิด ปูทะเล กุ้งแห้ง
    • อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง
    • อาหารแช่แข็ง ผลไม้อบแห้ง
    • นมและอาหารที่มีส่วนผสมของนม
    • กาแฟ ช็อคโกแลต โกโก้
    • ยีสต์ ผงฟู
    • ลูกเดือย งาดำ เต้าหู ถั่ว และธัญพืชต่าง ๆ

แอลกอฮอล์


  • ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไตควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ใกล้เวลาที่ต้องกินยา เพราะจะส่งผลกระทบต่อระดับยาและการกำจัดยาออกจากร่างกายของไตได้

อาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ไม่ควรรับประทานหลังการปลูกถ่ายไต


ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบางชนิดมีผลต่อการทำงานของยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยปลูกถ่ายไต “ควรหลีกเลี่ยง”ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ดังนี้


  • ขมิ้น และอาหารที่มีขมิ้นเป็นส่วนประกอบ เช่น แกงไตปลา คั่วกลิ้ง แกงเหลือง ขนมจีนน้ำยาใต้ ข้าวหมกไก่
  • ขิง และอาหารที่มีขิงเป็นส่วนประกอบ เช่น ปลานึ่งขิง น้ำขิง บัวลอยน้ำขิง ไก่ผัดขิง
  • โสม และอาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของโสม
  • ทับทิม ทั้งในรูปแบบผลทับทิม น้ำทับทิม หรือน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของทับทิม
  • เกรฟฟรุต ทั้งในรูปแบบผลเกรฟฟรุต น้ำเกรฟฟรุต หรือน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของเกรฟฟรุต
  • Echinacea เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการใช้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันหวัด
  • ST. John’s Wort เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งในยุโรปและอเมริกา มักพบในรูปแบบของอาหารเสริมและยาสมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการของโรคซึมเศร้า อาการนอนไม่หลับ

วัคซีนที่ผู้ป่วยควรได้รับหลังการปลูกถ่ายไต


ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตมักจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบเพราะจะสามารถลดการป่วยจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และไวรัสปอดอักเสบได้


วัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza vaccine)


การบริหารยา: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 เข็มทุกปี หลังการปลูกถ่ายไต


ข้อห้ามใช้

  1. ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่รุนแรง
  2. หากเกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Guillain-Barre syndrome) หลังฉีดวัคซีนควรกลับมาพบแพทย์ทันที

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ มี 2 ยี่ห้อ ดังนี้

  1. Vaxigrip Tetra
  2. Fluarix Tetra

วัคซีน-Vaxigrip-Tetra.webp

วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ (pneumococcal vaccine)


การบริหารยา: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 เข็มทุก 5 ปี หลังการปลูกถ่ายไต

ผลข้างเคียง

  1. ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด
  2. มีไข้ 1 – 2 วันหลังฉีดวัคคซีน

ข้อห้ามใช้: ปฏิกิริยาแพ้รุนแรงจากการฉีดครั้งก่อน


Pneumococcal Polysaccharide vaccine คือ วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ 23 สายพันธุ์


วัคซีนป้องกันโรคโควิด


สามารถใช้ในผู้ป่วยปลูกถ่ายไตได้ทั้งชนิดเชื้อตาย (killed vaccine), ชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (vector vaccine) หรือชนิด mRNA


คำแนะนำ: ความถี่ในการฉีดวัคซีนแต่ละแบบยังต้องติดตามตามคำแนะนำล่าสุด (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)

สรุป


หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยยังจำเป็นต้องได้รับการดูแลหลังการเปลี่ยนไตจากทีมแพทย์ตลอดชีวิตเพื่อให้แน่ใจว่าไตใหม่อยู่ได้นานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต และต้องมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจดูความแข็งแรงของร่างกาย และเพื่อประเมินการทำงานของไตใหม่ จะมีการเจาะเลือดเพื่อปรับระดับยากดภูมิคุ้มกันให้เหมาะสม และประเมินภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้


อย่างไรก็ตามการได้รับยากดภูมิคุ้มกันจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และสะอาด หลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนที่มีคนแออัด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และได้รับวัคซีนป้องกันโรคอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. วิศิษฐ์ ลิ่วลมไพศาล

นพ. วิศิษฐ์ ลิ่วลมไพศาล

สถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต โรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital