บทความสุขภาพ
Knowledge
พญ. ผ่องพรรณ ทานาค, นพ. น๊อต เตชะวัฒนวรรณา
ไตเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีสำคัญต่อร่างกาย ดังนั้นโรคไตจึงถือเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งคุณภาพชีวิตของตัวผู้ป่วยเอง และคนรอบข้างที่ต้องดูแลผู้ป่วย ในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคไตเพิ่มมากขึ้นจากในอดีต และในจำนวนนั้นก็มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่จำเป็นต้องทำการรักษาโดยเร่งด่วนในปัจจุบัน การปลูกถ่ายไตนั้น ถือเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด สำหรับการที่จะทำให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
การผ่าตัดเปลี่ยนไต หรือการปลูกถ่ายไต คือ การบำบัดทดแทนไตในการรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยนำไตที่ยังทำงานดีมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย
ในปัจจุบันการผ่าตัดปลูกถ่ายไตนั้นเป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพราะมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่า 80- 90% ขึ้นอยู่กับชนิดของไตที่ได้รับ และผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตนั้นจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นใกล้เคียงกับคนทั่วไป ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและโรคแทรกซ้อนจากการฟอกไต และมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ต้องฟอกเลือดหรือล้างไตไปตลอดชีวิต
ปลูกถ่ายไต อยู่ได้กี่ปี ? เป็นคำถามที่ผู้ต้องการจะผ่าตัดปลูกถ่ายไตทุกคนล้วนอยากรู้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการจะระบุเป็นตัวเลขว่าผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้นานกี่ปีนั้น ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งเรื่องของความเข้ากันได้ของไตที่นำมาเปลี่ยน และโรคร่วมที่เป็นอยู่
ซึ่งถ้าเป็นไตที่มาจากญาติพี่น้องที่เนื้อเยื่อสามารถเข้ากันได้ และมาจากบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ โอกาสที่ไตจะทำงานได้เป็นปกติและทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้นก็มีสูงขึ้น แต่ถ้าเป็นไตที่มาจากบุคคลอื่น หรือมาจากผู้ที่เสียชีวิตแล้ว แม้โอกาสที่ไตจะทำงานได้เป็นปกติก็จะลดลง แต่ก็ยังคงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก
และจากข้อมูลทางสถิติโดยสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2560 พบว่าผู้ป่วยที่สามารถอยู่ได้ถึง 10 ปี หลังจากการปลูกถ่ายไตนั้นมีจำนวนมากถึง 78.2 % เลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าจากผู้ป่วย 100 คน จะมีผู้ป่วยถึง 78 คนที่สามารถอยู่ได้นานกว่า 10 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโอกาสในการผ่าตัดไตสำเร็จนั้นค่อนข้างสูงในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการประสบความสำเร็จ และการที่ผู้ป่วยจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างยืนยาวก็ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
เมื่อแพทย์ผู้ชำนาญทางโรคไตประเมินผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ที่มีเกณฑ์ของร่างกายที่เหมาะสม สามารถเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตได้แล้วนั้น จะมีการรับบริจาคไตจากผู้บริจาค 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. ผู้บริจาคไตที่ยังมีชีวิตอยู่
1.1 ผู้บริจาคเป็นคนในครอบครัวเดียว เช่น พ่อ แม่ ลูก หรือญาติพี่น้องที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
1.2 ผู้บริจาคเป็นคู่สมรส โดยมีหลักฐานการจดทะเบียนสมรส หรืออยู่ด้วยกินกันฉันสามีภรรยาโดยเปิดเผยมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ก่อนวันที่จะผ่าตัดปลูกถ่ายไต (กรณีมีบุตรร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องใช่ระยะเวลา 3 ปี)
2. ผู้บริจาคไตจากสภากาชาดที่เป็นผู้มีภาวะสมองตาย ผู้บริจาคไตและผู้ป่วยที่รับไตจะต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดก่อนว่ามีกรุ๊ปเลือดเข้ากันได้ และมีเนื้อเยื่อในร่างกายที่เข้ากันได้ จึงจะอนุญาตให้ผ่าตัดเปลี่ยนไตได้
โดยการเปลี่ยนไตที่จะได้รับผลสำเร็จที่ดีที่สุดเรียงตามลำดับ คือ
1. การเปลี่ยนไตระหว่างพี่น้องฝาแฝด จะมีโอกาสได้รับผลสำเร็จสูงที่สุด
2. พี่น้องท้องเดียวกันที่มีสภาพเนื้อเยื่อเหมือนกัน
3. พ่อ แม่ ลูก หรือพี่น้องท้องเดียวกันที่มีสภาพเนื้อเยื่อเหมือนกันบางส่วน
4. ผู้มีสภาวะสมองตายที่ไม่ใช่พี่น้องของผู้ป่วย ซึ่งได้รับการตรวจเลือดกรุ๊ปและเนื้อเยื่อแล้วว่าใกล้เคียงและเข้ากันได้ดีกับผู้ป่วย จะมีโอกาสสำเร็จเป็นอันดับท้ายสุด
ทั้งนี้การเปลี่ยนไตโดยการซื้อขายไตจากบุคคลอื่นที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งไม่ใช่ญาติพี่น้องของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผิดกฎหมายและเป็นเรื่องที่แพทย์ทั่วโลกยังไม่ให้การยอมรับ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจรรยาบรรณทางการแพทย์ และศีลธรรมรวมถึงปัญหาทางกฎหมาย เพราะอาจเกิดจากการบังคับขู่เข็ญ ขโมยไตโดยผู้บริจาคไม่ยินยอม หรือเป็นการซื้อขายไตกัน
การดูแลตัวเองหลังจากการเปลี่ยนไตนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการดูแลตัวเองที่ดีนั้นจะทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยวิธีการปฏิบัติตัวหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนไตแล้วมี ดังนี้
ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไต ควรระมัดระวังด้านการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ เนื่องจากไตซึ่งมีหน้าที่รักษาสมดุลของแร่ธาตุในเลือดนั้น มีประสิทธิภาพการทำงานลดลง การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นการไม่เพิ่มภาระให้กับไตนั่นเอง
แม้การปลูกถ่ายไตนั้นอาจจะเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อน แต่ถ้าหากทำโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ อย่าง สถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต โรงพยาบาลพระรามเก้า เพื่อดูแลผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการปลูกถ่ายไตแล้ว การปลูกถ่ายไตนั้นก็จะมีโอกาสสำเร็จสูง มีความเสี่ยงต่ำ และหลังจากการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติอีกครั้ง
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วย ชนิดของไตที่ได้รับ และการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ก็จะทำให้ตัวผู้ป่วยเองนั้นมีอายุที่ยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้ไม่ต่างกับคนทั่วไป
อ้างอิง : http://www.transplantthai.org/knowledge.php?news_id=0
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital